วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 10

หลังจากช่วงเวลาที่ชวนให้ฉันสับสนและแสนจะเงียบเหงาได้ผ่านไป หนุ่มๆ รักษาดินแดน
ผู้ร่วมก๊วนเดียวกันก็กลับมา ก๊วนเรายังคงสนุกสนานเฮฮา และขี้เมาตามเคย แต่ฉันรู้สึกว่า
ตัวฉันเองนั่นแหละที่แปลกไป ฉันไม่กล้าสบตาเป้ง ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงกับเขาเหมือน
วันก่อนๆ ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าสิ่งที่ฉันเป็นอยู่นี้คืออะไร และส่วนเป้งเอง
ก็ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนไปเช่นกัน เขาแกล้งฉันบ่อยขึ้น โทรหาฉันทำเป็นถามเรื่องต่างๆ
ภายในโรงเรียนกับฉัน ทั้งๆ ที่เขาน่าจะรู้ดีกว่าฉัน เพราะเขาเป็นเพื่อนกับประธานนักเรียน
บางครั้งก็ทำดีกับฉันจนอย่างเช่นเวลาไปกินเหล้า ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยห้ามฉัน อยากดื่ม
เท่าไหร่ก็เชิญ อยากอ้วกตรงไหนก็ไป อยากจะอาละวาดตวาดด่าใครเขาก็ไม่ขวาง แต่เดี๋ยวนี้
เขามักจะยั้งฉันไว้แทบทุกครั้งที่เวลามีเพื่อนมาท้าแข่งดวลดื่มเหล้ากับฉัน แล้วเขาก็จะอาสา
ดื่มแทนฉัน ฉันกลัว กลัวใจตัวเองจะทนทานต่อความรู้สึกของตัวเองไม่ไหว และจะต้องบอก
เขาให้ได้ในสักวัน แต่ไม่ใช่ช่วงเวลานี้ วันที่เราต้องยังมาเห็นหน้ากันทุกวันอย่างวันนี้
เพราะฉันอาจจะผิดหวังและสูญเสียเขาไป
วันนี้ฉันเข้าแถวที่ห้องของตัวเอง ฉันไม่สนใจเสียงนกเสียงกาหน้าไหนทั้งนั้น ที่หน้าเสาธง
อาจารย์สอนพละที่ชื่อว่าอาจารย์นิวัฒน์กำลังพูดอะไรสักอย่างฉันก็ไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่
แต่เอ๊ะ ได้ยินผ่านๆ หูว่าแข่งบาสอะไรนี่แหละ แข่งบาสงั้นเหรอ เอาละ ตั้งใจฟังแล้วน้า
(มันน่าดีใจตรงไหนเนี่ย) อีกสองอาทิตย์จะมีการแข่งบาสในโรงเรียนงั้นเหรอ
การแข่งครั้งนี้จะแบ่งเป็นสองระดับ ม.ต้น กับ ม.ปลายนี่เอง แล้วก็ไม่มีบาสหญิงเหรอเนี่ย
น่าเสียดายจริงๆ แล้วที่น่าเสียดายที่สุดคือ ให้ส่งทีมเข้าแข่งขันเป็นห้องเหรอ ว้า... ถ้าเป็น
ทีมที่ตั้งขึ้นเองนะ ก๊วนฉันชนะขาดแหงๆ ว่าแล้วฉันก็เดินไปสุมหัวกับก๊วนสักหน่อยดีกว่า
แอบเห็นว่าพวกมันฮือฮาน่าดู ก็ของมันแน่อยู่แล้วนี่นา ก็พวกฉันเล่นบาสกันเป็นกิจวัฒ
อยู่แล้ว ยิ่งมีการแข่งขันยิ่งน่าสนุกใหญ่เลย แล้วฉันก็จะได้ดูหนุ่มๆ แล้วก็น้องๆ หน้าตา
น่ารักๆ เล่นบาสกันทั้งโรงเรียนเลยสิเนี่ย โอ้ว พระเจ้าทรงโปรดฉันจริงๆ *o*

พอถึงช่วงพักกลางวันหลังจากที่ฉันกินข้าวเสร็จแล้วก็เดินมาที่สนามบาส แล้วก็เห็นเพื่อนๆ
กับเป้งพากันเล่นบาสอีกตามเคย แล้วเขาก็ชวนฉันเล่นบาสอีกตามเคย แต่ฉันปฏิเสธไป
เพราะเพิ่งกินข้าวเสร็จมาหมาดๆ เดี๋ยวไปวิ่งในสนามบาสจะพาลเอาขย้อนของที่เพิ่งกินเข้า
ไปออกมาเอา เสียดายอ่ะ แต่เอ...วันนี้ดูท่าทางของแต่ละคนแล้วมันดูจริงจังกับบาสเกินไป
รึเปล่า หรือจะเป็นเพราะไอ้การแข่งขันนั่น ถึงทำให้เป็นอย่างนี้ สบจังหวะที่พวกในสนาม
พักครึ่งแรกพอดี โห... มีแบ่งครึ่งด้วย แสดงว่าแข่งกันจริงจังสุดๆ
“นี่ รู้ว่าเขาแข่งบาสกัน แล้วทำไมไม่ซื้อน้ำติดมาด้วย คอแห้งจะตายแล้ว” เสียงเป้งต่อว่า
ฉันทั้งๆ ที่ฉันไม่รู้เรื่องสักหน่อย
“อ้าว แล้วจะตรัสรู้มั้ยฮะ ว่ากำลังแข่งกันอยู่อ่ะ คนเพิ่งเดินออกมาจากโรงอาหารเมื่อกี้นี่เอง”
ฉันว่ากลับเป็นชุด นึกโมโหไอ้บ้านี่สุดๆ
“ก็หิวน้ำอ่ะ” เขาพูดแล้วมองหน้าฉัน พอฉันกะว่าจะด่ากลับไปว่าหิวก็ไปหากินเองสิวะ
แต่ต้องชะงัก เพราะหันไปเจอสายตาที่ดูมีกระแสอ้อนวอนนิดๆ นั้นส่งมาให้ฉัน เฮ่อ
แล้วฉันก็ใจอ่อนจนได้
“เออๆ เดี๋ยวไปซื้อมาให้”
“อย่าซื้อมาให้แต่เป้งมันคนเดียวล่ะ เราก็หิวน้ำเหมือนกันนะ” ไอ้โก้ส่งเสียงกระแซะพร้อม
ทำตาระริกใส่ฉัน อีกต่างหาก
“ทำไมต้องซื้อมาให้เป้งมันกินคนเดียวล่ะ พวกมึงก็เป็นเพื่อนกูเหมือนกันนี่” ฉันตอบกลับ
ไปอย่างที่ไม่ตรงกับใจซักเท่าไหร่ ถ้าเป็นมากกว่าเพื่อนคงจะดี เฮ่อ ว่าแล้วก็ตรงไปซื้อน้ำ
มาถวายคุณชายทั้งหลายทันที
“ห้อง 9 ส่งทีมบาสมั้ย” ไอ้โก้ส่งเสียงถามฉันทันทีเมื่อพากันกินน้ำที่ฉันซื้อมมาถวายแล้ว
“ไม่ส่งล่ะมั้ง เห็นเค้าว่าถ้าเป็นฟุตบอลคงจะส่งอยู่”
“เออ ดี จะได้ตัดคู่แข่งไปอีกห้อง ทีนี้ก็เหลือคู่แข่งที่สำคัญแค่ห้อง 4 ห้อง 5 แล้วก็ห้อง 7”
“แล้วห้อง 8 ส่งเหรอโก้” ฉันถามกลับ
“ป่าว ไม่ได้ส่งอ่ะ”มันตอบพร้อมทำหน้ากวนประสาทใส่ฉัน
“แล้วมึงมีคู่แข่งตรงไหนทีนี้” ไอ้อ้วนถามบ้าง
“อ้าว ก็กูจะได้ดูพวกมึงแข่งกันเองไง ท่าทางจะมันส์”
“ยังไงๆ ห้อง 5 ก็ชนะแน่” ไอ้อ้วนพูดต่ออย่างมั่นใจ
“เฮอะ ห้อง 4 หรอกเว้ยที่จะชนะ” ไอ้อ๊อฟ ตัวแทนจากห้อง 4 ไม่ยอมให้ข่ม
“ห้อง 7 ก็พอมีลุ้นอยู่นะ” บุ๋มพูดขึ้นมาบ้าง แล้วสงครามน้ำลายก็เกิดขึ้นทันที
“ห้อง 5”
“ห้อง 4”
“ห้อง 7”
“เฮ้ย!! พวกมึงจะเถียงกันทำไมวะ เอาเป็นว่าห้องไหนที่ตกรอบก่อน ห้องนั้นเลี้ยงเหล้า
แล้วกัน มึงว่าไงโก้” ฉันหันไปหาคนที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรในเกม ซึ่งมันก็พร้อม
รับมุกฉันอยู่ก่อนแล้ว
“ใช่ๆ ห้องไหนขี้แพ้ ห้องนั้นเลี้ยงเหล้า” มันว่าแล้วก็หันมาขยิบตาให้ฉันด้วยความถูกใจ
“เออได้” หลายเสียงตอบขึ้นพร้อมกัน ฉันจึงได้แต่กระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ฮิฮิ จะได้กิน
เหล้าฟรีก็คราวนี้ล่ะฉัน
“งั้นเอาเป็นว่า ห้อง 8 เลี้ยงโซดา ห้อง 9 ออกน้ำแข็งก็แล้วกันนะ” เสียงเป้งแทรกขึ้น
มา เอื้อกกส์... มีคนรู้ทันด้วยแฮะ ฉันกับโก้จึงได้แต่หันไปค้อนให้คนที่ฉันแอบเอาใจ
ช่วยตั้งแต่แรกพร้อมกัน
“เฮ้ยๆ แนนๆ” ไอ้โก้สะกิดฉันเบาๆ จากด้านหลัง ฉันจึงถอยกลับไปคุยกับมันแบบ
ไม่ให้ใครสังเกตได้
“อือ ว่าไง” ฉันถามด้วยเสียงที่เบาที่สุด
“คนที่มาจากห้อง 8 กับห้อง 9 มีแค่เราสองคนนะเว้ย ให้เลี้ยงโซดากับน้ำแข็งคน
เป็นสิบๆ ไม่จนแย่เหรอวะ” ไอ้โก้ถามฉันเสียงเครียดเพราะห่วงสถานะทางการเงิน
ของตัวเอง
“เอ้า มึงนี่ก็บื้อ ก็ให้มันกินเพียวๆ สิวะ จะได้ไม่ต้องเลี้ยงโซดากับน้ำแข็งพวกมัน
แค่นี้ก็สิ้นเรื่องแล้ว” ฉันพูดไปง่ายๆ เพราะฉันได้วางแผนไว้ก่อนแล้ว ฮ่าๆ
“เออ เข้าท่าแฮะ ฉลาดนะเนี่ย”
“ก็กูอยู่ห้อง 9 อ่ะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงชวนหมั่นไส้สุดๆ
“เออ แม่คนฉลาด”
“ของมันชัวร์อยู่แล้ว”
“ชิส์”
การจัดลำดับในสายชั้น ม.6 นั้นจะจัดห้องเรียงลำดับตามความเก่งในด้าน
การเรียนตั้งแต่ห้อง 1 ถึงห้อง 9 ซึ่งเป็นสายวิทย์-คณิคฯ ส่วนห้อง 10
เป็นสายศิลป์ - ภาษา เพื่อนๆ ในก๊วนของฉันมีตั้งแต่ห้อง 4 ถึงห้อง 9
ซึ่งห้อง 9 ของฉันเขาเรียกว่าห้องคิง ส่วนห้อง 8 เขาเรียกว่าห้องควีน
ส่วนห้องที่เป็นที่กล่าวขวัญจากอาจารย์มากที่สุดในเรื่องของความซน
และความดื้อด้านมากที่สุด นั่นคือ ห้อง 4 และห้อง 5 ซึ่งไอ้ตัวแสบใน
ห้องนั้นๆ ก็อยู่ร่วม ก๊วนเดียวกันกับฉันเกือบหมด ฉะนั้น ไม่ต้องพูดถึง
ความแสบ ซ่า ของก๊วนพวกฉันเลย เพราะได้รวมพวกตัวแสบของแต่ละ
ห้องมารวมกันไว้ที่นี่
เมื่อใกล้ถึงเวลาเข้าเรียนในช่วงบ่าย พวกคุณชายในสนามบาสก็หยุดเล่นแล้ว
ก็มาพักเพื่อที่จะเตรียมตัวไปเรียน แล้วฉันก็แอบมองดูเขา(อีกแล้ว)
ดูเขาสิ เหงื่อท่วมตัวเลย ดวงหน้าที่ดูหวานๆ ของเขาติดจะแดงนิดๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเหนื่อยหรือตากแดดนานๆ กันแน่ ถ้าเขาไม่ได้เรียน
ร.ด. นะ ฉันคงคิดไปแล้วว่าไอ้ผิวขาวๆ ที่ดูบอบบางนั้น มันจะทนตากแดด
นานๆ อย่างนี้ได้ยังไง เขายกขวดน้ำจรดที่ริมฝีปาก แล้วดื่มมันเข้าไปอย่างไม่
ระมัดระวัง จนทำให้น้ำไหลย้อยลงมาตามปากและคางของเขา เขาเองก็ยกเอา
แขนเสื้อมาเช็ดออกอย่างลวกๆ อ๋า... ดูแขนเสื้อเขาสิ ดำเชียว ซกมกจัง
เห็นแล้วอยากจะกระโจนเข้าไปกระชากเสื้อออกไปซัก ให้จริงๆ ถ้าเขาให้ฉันซัก
ให้ไปตลอดชีวิตเลยคงจะดีสิ(ไปสมัครเป็นคนใช้เขาเลยไป๊)
เมื่อฉันมองเขาจนพอใจแล้ว ฉันก็แอบเคลื่อนกายไปเข้าเรียนอย่างเงียบๆ ตามเคย
(^.^)

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 9

โอ๊ยยยยย!!! วันนี้เป็นวันเสาร์ที่น่าเบื่อมากๆ เลย ฉันตื่นมาตั้งแต่เช้า แล้วก็ไปทำงาน
เสร็จสรรพตั้งแต่เช้าแล้ว แต่วันนี้ไม่มีอารมณ์รับจ๊อบต่อ ถึงแม้จะได้อีกหลายตังค์ก็ตามที
ฉันจึงกลับบ้านมานอนเปลญวนที่หน้าบ้านพร้อมกับอ่านการ์ตูนเรื่องโปรดแก้เซ็ง สาเหตุที่
ฉันเซ็งเป็ดตั้งแต่เช้า คือว่า แม่ของฉันโทรมาว่าวันนี้ไม่ให้ไปทำงาน เพราะจะพาฉันไปเที่ยว
ในตัวเมืองขอนแก่น ถ้าไปกับแม่แค่สองคนฉันคงไม่เซ็งขนาดนี้ แต่วันนี้สามีแม่ไปด้วยนี่สิ
เฮ่อ นี่ก็นั่งรอตั้งนานแล้วนะ
“โอ๊ยย นัดเก้าโมง แล้วนี่จะสิบโมงอยู่แล้วนะ ผู้ใหญ่ไรวะ ไม่รักษาเวลาเลย
ปล่อยให้เด็กมานั่งรอ โอ๊ยเซ็ง” ว่าแล้วฉันจึงลุกไปโทรศัพท์หาแม่ทันที
“ไม่ไปแล้วเหรอแม่” ฉันถามแม่เสียงเรียบ แม่คงรู้สึกได้ว่าฉันรอนานแล้ว
“(รอก่อนนะ ลุงหวัง(สามีแม่)เค้าไปทำธุระอยู่ เดี๋ยวคงมาแล้วล่ะ)”
“หนูไม่ไปแล้วนะ แม่ไปกันเถอะ หนูขี้เกียจรอ”
“(ไม่ได้ หนูรับปากแม่แล้วนะ รออีกแปบเดียวเอง)”
“ก็ไม่รักษาคำพูดกับหนูก่อนหนิ จะสิบโมงอยู่แล้ว”
“(เอาน่า รอแปบเดียว นานๆ จะได้ไปด้วยกันที)”
“งั้นก็ได้ค่ะ ถ้าเกินสิบโมงครึ่ง หนูจะไม่อยู่แล้วนะ ถ้าเกินเวลานี้ก็ไม่ต้องมารับนะคะ
แค่นี้นะคะ” ฉันยื่นคำขาดแล้ววางสายไปทันที
“เวรกรรมของตูจริงๆ ยัยแนนเอ๊ย เอาวะ ไปซื้ออาหารเม็ดให้จัมโบ้มันด้วยแล้วกัน
ที่นั่นคงจะถูกกว่า” ว่าแล้วฉันก็นอนรอแม่ไปจนฉันเผลอหลับไป


ตู้ม! เสียงระเบิดสะเทือนลั่นทั้งท้องฟ้า แรงระเบิดนั้นส่งให้ฉันกระเด็นไปไกลกว่า
สิบเมตร บาดแผลจากการต่อสู้ ทำให้ฉันลุกขึ้นอย่างยากเย็น เจ็บจนต้องกัดฟันกรอด
ก่อนจะใช้หลังมือปาดเลือดที่มุมปากออก ก่อนจะหันมาประจันหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
“โอ้ว ยังลุกขึ้นไหวอีกเหรอเนี่ย เธอนี่มันช่างอึดดีจริงๆ” เสียงไอ้ปีศาจในร่างของมนุษย์ดังขึ้น
...บ้าชิบ สู้มาตั้งนานแม้แต่รอยขีดข่วนมันยังไม่มีเลย
“แล้วแกจะรู้ว่าฉันมันอึดกว่าที่แกคิดไว้ซะอีก” ฉันตอบกลับมันไป พร้อมทั้งกระชับดาบในมือ
ให้แน่นขึ้นพร้อมสู้ ฉันหายใจเข้าลึกๆ แล้วพุ่งตัวเข้าปะทะกับมันอย่างรวดเร็ว แต่มันเร็วกว่าฉันนัก
มันส่งพลังทำลายล้างตรงมายังฉันอย่างรวดเร็ว ฉันได้แต่เบิ่งตากว้างมองก้อนพลังนั้นอย่างตื่นตะลึง
ก่อนจะหลับตาลงยอมรับชะตากรรม

ปิ๊น!!! ปิ๊น!!! เสียงแตรรถดังขึ้นเป็นการปลุกฉันไปในตัว ฉันสะดุ้งเฮือก ตื่นขึ้นมา
พร้อมทั้งเหงื่อซึมไปทั่วใบหน้า ก่อนจะมองรถเจ้าของเสียงที่มาปลุกฉันได้ทันการ ก่อนที่ฉันจะ
ฝันร้ายไปกว่านี้ ฉันคิดในใจ ...ฝันอะไรจะเหมือนจริงขนาดนี้วะเนี่ย ก่อนจะเหลือบมองหนังสือ
การ์ตูนเรื่องโปรดที่เพิ่งอ่านไปก่อนที่ฉันจะเผลอหลับไปอย่างคาดโทษ ไอ้การ์ตูนบ้า ทำตรูเกือบ
ตายในความฝัน ฉันคิดอย่างเซ็งๆ แล้วโยนหนังสือการ์ตูนเล่มนั้นเข้าไปในบ้านอย่างไม่ใยดีนัก
พอดีกับที่แม่ของฉันลงมาจากรถ
“ไปกันเถอะลูก” แม่เรียกฉัน ฉันพยักหน้ารับแล้วจึงไปปิดบ้านพร้อมทั้งให้อาหารจัมโบ้ไว้
เผื่อกลับมาถึงบ้านเย็น แล้วฉันก็ขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังของรถอย่างเงียบๆ แล้วหยิบหนังสือการ์ตูน
เรื่องสแลมดั้งค์ที่เพิ่งเช่ามาใหม่ขึ้นมาอ่านอย่างไม่สนใจใคร จนแม่มองฉันอย่างหน่ายๆ
ระหว่างการเดินทางเข้าตัวเมือง แม่กับสามีของแม่ก็คุยกันตลอดทางและยังพยายามเปิด
ประเด็นชวนฉันคุยด้วย แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก นอกจากหนังสือการ์ตูนที่อยู่ในมือ
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงก็มาถึงตัวเมืองสักที ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะช่วงเวลาที่เดินทาง
มานั้นชวนอึดอัดเหลือเกิน แม่ฉันบอกให้สามีของแม่พาไปที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เพื่อมา
ทานข้าวและซื้อของใช้สอยที่นี่ที่เดียวแล้วก็จะกลับบ้านเลย
พอทานข้าวเสร็จแล้วฉันก็ขอตัวไปเดินเลือกของใช้ตามลำพัง ดูเหมือนว่าแม่จะไม่พอใจ
ฉันเอาการอยู่ แต่ฉันไม่ได้สนใจนัก ฉันเดินเลือกของใช้อย่างไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษนัก
เพราะในใจคิดถึงแต่เจ้าของรถที่มาฝากไว้กับฉัน ให้ฉันต้องมาเช็ดเช้าล้างเย็นอยู่อย่างนี้
ป่านนี้เขาจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ได้ยินมาว่าการฝึก ร.ด. ของปี 3 นั้นหนักหนาเอาการอยู่
แล้วอากาศเย็นขนาดนี้ ไอ้เสื้อกันหนาวของฉันจะสร้างความอบอุ่นให้เขาได้เพียงพอหรือเปล่า
เขาจะรู้บ้างไหมนะว่าฉันเป็นห่วงและคิดถึงเขามากเหลือเกิน
“เสร็จรึยังลูก” เสียงแม่ของฉันทำให้ฉันตกใจ เพราะใจของฉันมันไม่ได้อยู่กับตัว ฉันจึงหัน
ไปมองแม่ที่ในรถเข็นของห้างนั้นมีของอยู่เกือบจะเต็ม ฉันพยักหน้ารับกับแม่ แล้วจึงพากัน
ไปจ่ายเงิน จากนั้นก็กลับบ้าน
พอถึงบ้านของฉัน แม่ก็ขนของลงมาไว้ในบ้าน ฉันก็เลยงงนิดๆ ว่าแม่จะเอามาไว้ที่นี่
ทำไม เพราะแม่ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่พอแม่เอาของลงจากรถเสร็จแล้ว ฉันจึงรู้คำตอบ
“เอาไว้ใช้นะ หนูจะได้ไม่ต้องซื้อ” แม่บอกกับฉัน ฉันมองหน้าแม่แล้วเหมือนน้ำตาของฉัน
กำลังจะไหลออกมา ฉันจึงหันหน้าหลบให้พ้นสายตาของแม่ จากนั้นแม่ก็ให้เงินที่ฉันจะต้องใช้
ในการลงทะเบียนสอบเอนทรานซ์ในวันพรุ่งนี้ไว้ให้ แล้วแม่ก็ขึ้นรถไป ฉันมองเงินจำนวน
หนึ่งพันบาทที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นด้วยด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ก่อนจะเดินไปดูของที่แม่เอา
ไว้ให้ฉัน ...สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ยาสระผม และของใช้จำเป็นอีกหลายอย่าง ฉันถอนหายใจ
ด้วยความรู้สึกแย่ ...แม่จ๋า หนูขอโทษ...

เช้าของวันรุ่งขึ้น ฉันกับเพื่อนร่วมก๊วนก็พากันเดินทางเข้าไปในตัวเมือง เพื่อลงทะเบียน
ขอสอบเอนทรานซ์รอบที่สองของปีการศึกษา หลังจากที่รอบแรกนั้นคะแนนของฉันห่วยแตกจน
เกินจะรับไหว พอฉันกับเพื่อนๆ ไปถึงมหาวิทยาลัยชื่อดังของจังหวัดก็เริ่มทำการตามขั้นตอนที่
เขากำหนด โชคดีที่ฉันกับเพื่อนๆ มาถึงกันไวจึงไม่ต้องเบียดเสียดกับคนอื่นมากนัก จนฉันกับ
เพื่อนๆ ทำการลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ก็กำลังพากันตัดสินใจว่าจะกลับบ้านเลย หรือว่าไปไหน
กันต่อ แต่ด้วยอากาศที่หนาวเย็น พวกฉันจึงไปนั่งตากแดดกัน ระหว่างการออกความคิดเห็นกัน
อยู่นั้น โทรศัพท์มือถือของอ๊อฟก็ดังขึ้น ทำเอาเพื่อนในกลุ่มชะงักกันหมด อ๊อฟมันคุยโทรศัพท์
สักพักก็หันมาบอกกับเพื่อนว่า พวก ร.ด.ที่ไปฝึกกำลังจะมาที่นี่ เพื่อลงทะเบียนเหมือนกัน
ทำเอาเพื่อนหลายๆ คนดีใจ เพราะความคิดถึงเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานหลายวัน แต่จะมีใครที่
รู้สึกเหมือนฉันบ้าง ฉันยิ้มออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมมันได้เมื่อได้ยินว่าเขากำลังจะมา
หลายวันที่ฉันไม่ได้เจอเขา ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกัน หรือว่าแกล้งกันนั้น มันทำให้ฉันรู้ตัวแล้วว่า
‘ฉันรักเขาเข้าแล้วจริงๆ’ ฉันถอนตัวไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่ต่อจากนี้ฉันควรทำยังไงต่อไป
เรากำลังจะจบ ม.6 และต้องแยกย้ายกันไปตามเส้นทางของแต่ละคน แล้วถ้าเขากับฉันไม่ได้
เดินทางเส้นเดียวกันล่ะ ฉันจะทำยังไง ...ลืมเขาไปซะ เพราะอนาคตทั้งของเขาและฉันยังคง
อีกยาวไกล หรือเลือกทำตามที่หัวใจของฉันมันเรียกร้อง สารภาพรักกับเขาไปซะ
จะเป็นยังไงก็ให้มันรู้ไป ถ้าเขาไม่ได้รู้สึกอย่างเดียวกับที่ฉันรู้สึกกับเขา ฉันก็พร้อมที่จะ
ยอมรับความเจ็บปวด แต่ถ้าเขารู้สึกอย่างเดียวกับฉัน ฉันคงยินดีเป็นที่สุด
“คิดถึงเป้งอยู่ล่ะสิ” เสียงของตุ้ยดังขึ้นขัดความคิดของฉัน ฉันไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ยิ้ม
ตอบกลับไป ตุ้ยเป็นเพื่อนผู้หญิงอีกคนในก๊วนที่พูดน้อย สุภาพ และเข้าใจคนอื่นได้ดี
เรื่องที่ฉันแอบชอบเป้งมานานนั้น ดูเหมือนว่าตุ้ยจะดูออก แล้วตุ้ยก็สะกิดฉันเบาๆ
ฉันหันไปมองตุ้ยด้วยสายตาเชิงคำถาม แล้วตุ้ยก็พยักเพยิดไปทางด้านหลังของฉัน
ฉันจึงมองตามเธอไป กลุ่มชายชุดสีเขียวเข้มในเครื่องแบบของนักเรียนวิชาการรักษา
ดินแดนหลายสิบคนกำลังลงจากรถโดยสารของทหาร ฉันมองกลุ่มคนพวกนั้นด้วยความรู้สึก
ตื่นเต้นระคนยินดี และในที่สุดคนที่ฉันรอคอยก็ลงมาจากรถพร้อมเพื่อนร่วมก๊วนเดียวกัน
แค่ได้มองเขาจากที่ไกลๆ แบบนี้ยังทำให้ฉันหัวใจเต้นผิดจังหวะ ก่อนที่จะยิ้มออกมาในที่สุด
ด้วยความยินดี เพราะเขาสวมเสื้อแขนยาวตัวเดิมของฉันไว้ จนเพื่อนผู้หญิงหลายคนส่งสายตา
มองฉันด้วยความสงสัย แต่ฉันไม่สนใจนัก เพราะฉันกำลังมองเป้งด้วยความคิดถึง และเป้ง
ก็มองมาทางฉันพอดี เขายิ้มจางๆ แล้วเดินเข้ามาหาฉันและเพื่อนๆ ทุกท่วงท่าการเดินและ
ร่างสูงสมส่วน บวกกับใบหน้าหล่อเหลาชวนมองของเขาทำให้สาวๆ หลายคนที่มาจาก
โรงเรียนอื่นต่างมองเขาด้วยสายตาที่จะเรียกว่าหยาดเยิ้มก็ว่าได้ ฉันเห็นอย่างนั้นก็
ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วละสายตาจากเขาไป ก่อนจะก้มหน้าลง แล้วคิดถึงตัวเอง ...
ผู้ชายที่ไหนจะมาเลือกผู้หญิงที่กินเหล้าเก่งกว่าเขามาเป็นแฟนวะ ฉันกินเหล้าให้เขาเห็น
สูบบุหรี่ก็เคย อ้วกต่อหน้าก็มี เฮ้อ... ฝันเฟื่อง แล้วเสียงย่ำเท้าด้วยรองเท้าบู๊ตหนักๆ
หลายคู่ก็ดังเข้ามาใกล้แล้ว ฉันตัดสินใจไม่หันไปมองเขาอีก พลางภาวนาในใจว่า
ขอให้เขาอย่ามาทำดีกับฉันอีกเลย อย่าทำให้ฉันหวังมากไปกว่านี้ แล้วเสียงของเพื่อน
ในกลุ่มก็ทักทายกับพวก ร.ด. ที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายวันก็เต็มไปด้วยความสดใส
ส่วนฉันน่ะเหรอ มีแต่ความสับสนและเศร้า
“นั่งทำไรน่ะ อาบุ้ง” ด้าที่เป็นนักศึกษาวิชาทหารเหมือนเป้งทักฉันแล้วมานั่งลงข้างๆ ฉัน
ฉันยิ้มกลับไป ก่อนจะตอบ
“นั่งตากแดดไง หนาวน่ะ” ฉันตอบแต่ไม่ได้เงยหน้ามองเขา เพราะกลัวจะเห็นเจ้าของเสียง
ที่ทำให้หัวใจของฉันปั่นป่วนที่เจ้าตัวยังคงเอ่ยทักทายกับคนอื่นๆ ด้วยความร่าเริงและ
กวนประสาทตามนิสัย
ฟึ่บ!! “เฮ้ย!!” จู่ๆ อะไรสักอย่างที่อุ่นๆ ก็คลุมลงมาที่หน้าฉัน ฉันได้แต่ร้องอุทาน
ก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกฝ่ามือกระแทกที่หัวสองสามที ฉันจึงรีบดึงไอ้สิ่งที่ปิดหน้าฉันออกมา
แล้วจึงรู้ว่าไอ้เจ้านั่นคือเสื้อแขนยาวของฉันนั่นเอง มันยังคงอุ่นอยู่เลย แล้วยังมีกลิ่นอีกด้วย
กลิ่นที่ฉันชอบแต่ไม่คุ้นเคย ฉันเงยหน้ามองคนที่เพิ่งถอดเสื้อของฉันออก เขายิ้มกวนๆ ให้ฉัน
เพราะคงสะใจที่ได้แกล้งฉันอีกตามเคย
“หนาวเหรอ” เขาถามฉันหลังจากที่ฉันเอาแต่เงียบ ฉันไม่พูดอะไร แต่พยักหน้าตอบไปแทน
“งั้นก็ใส่เสื้อสิ” เป้งบอกฉันอีก ฉันจึงเงยหน้ามองเขาที่ยืนเค้าหัวฉันอยู่อย่างไม่เข้าใจนัก
“ถ้าหนาวตอนนี้ก็ใส่ไปก่อน เดี๋ยวค่อยเอามาคืน ฮ่าๆๆ” เป้งพูดอย่างอารมณ์ดี ฉันจึงยิ้ม
ออกมา แล้วสวมเสื้อที่ยังคงมีกลิ่นกายของเขาติดอยู่ด้วยความรู้สึกแปลกๆ แล้วเขาก็นั่งข้างฉัน
แล้วจัดปกคอเสื้อให้ฉัน ก่อนจะตบหัวฉันเบาๆ อีกที แต่ฉันไม่ได้โวยวายหรือตอบโต้เขา
เพราะทั้งตื่นเต้นและเขินที่เขามาทำอ่อนโยนกับฉัน
“เสื้อตัวนี้เสื้อแนนเหรอ” เฟรชเพื่อนร่วมก๊วนที่เป็น ร.ด. อีกคนถามขึ้นมาพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย
“อืม ใช่” ฉันตอบกลับ แล้วเฟรชก็ยิ้มออกมาพลางมองเป้งที่หันหน้าไปทางอื่น แล้วจึงพูดออกมา
“ก็ถึงว่าล่ะ เป้งมันถึงใส่ไม่ยอมถอด แม้แต่เวลานอนมันก็ยังใส่ แถมขอยืมก็ไม่ยอมให้อีกต่างหาก
ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง” เฟรชพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน ทำเอาฉันหน้าร้อนฉ่า เพื่อนในก๊วนก็พากันยิ้ม
อย่างมีความหมาย แล้วเป้งก็ผุดลุกขึ้น
“ไม่ใช่นะเว้ย ก็มันหนาวนี่นา กูไม่มีเสื้อกันหนาวไป แล้วเสื้อตัวนี้ก็บางนิดเดียวเอง ถ้าไม่ใส่ไว้
ตลอด กูก็แข็งตายอ่ะดิ” เป้งพูดขึ้นเสียงดัง แล้วความยินดีของฉันก็หายวับไป ฉันหันไปมองเป้ง
ที่กำลังยืนเถียงกับเฟรชเรื่องเสื้อของฉันอยู่ ฉันมองดวงหน้าที่คล้ำลงเพราะแดดของเขาแล้วก็ต้อง
ถอนหายใจออกมา ก่อนจะคิดในใจต่อ ...บอกแล้วว่าอย่าฝันเฟื่อง พวกเขายืนคุยกันต่อสักพักก็ไป
จัดการเรื่องลงทะเบียน แล้วบุ๋มก็ถามฉันขึ้นมา
“ทำไมเสื้อแนนไปอยู่กับเป้งล่ะ”
“เป้งไม่มีเสื้อกันหนาว ก็เลยให้ยืมน่ะ” ฉันตอบ บุ๋มพยักหน้ารับแต่ยังเหมือนว่ามีอะไรอยากจะ
ถามฉันต่อ ฉันจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วตกลงว่าจะไปต่อกันรึเปล่า”
“พวกนั้นไม่ไป แต่บุ๋มอยากไปแฟรี่ แนนไปเป็นเพื่อนบุ๋มหน่อยสิ”
“ได้สิ” ฉันตอบรับ
ฉันกับบุ๋มคุยกันเรื่องสัพเพเหระ รวมถึงเรื่องของอู๋ที่เพิ่งอกหักจากฉันไป จนเมื่อเป้งกับเพื่อนๆ
ร.ด. จัดการเรื่องลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินมาหาฉัน ฉันจึงถอดเสื้อแขนยาวให้เขา
เป้งรับเอาแล้วยิ้มให้ฉันด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะแปลกไป ฉันก็ยิ้มน้อยๆ ตอบกลับไป แต่ฉัน
ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาดี
“ที่บ้านหนาวไหม” เป้งถามฉันขึ้นมาก่อน
“หนาว” ฉันตอบสั้น พลางมองแขนของเขาที่มีทั้งรอยขีดข่วน รอยช้ำ และยังคล้ำลงกว่า
เดิมมาก ฉันจึงถามเขาบ้าง
“แล้วที่ฝึกน่ะ เหนื่อยไหม”
“เหนื่อยมากและหนาวมากเลยล่ะ ถ้าไม่ได้เสื้อของแนนเราคงจะแย่” เป้งพูดแล้วสวมเสื้อของฉัน
ก่อนจะยิ้มจางๆ มาให้ฉัน แล้วเขาก็ดึงปกคอเสื้อแขนยาวของฉันขึ้นมาดม แล้วจึงบอกกับฉัน
“วันที่แนนให้มามันหอมกว่านี้ แต่วันนี้มันเริ่มเหม็นเหงื่อเราแล้วล่ะ”
“แต่เราชอบกลิ่นที่มันมีอยู่ตอนนี้มากกว่า” ฉันตอบกลับเบาๆ แล้วเป้งก็ยิ้มกว้างขึ้น แต่ก่อนที่
เขาจะพูดอะไรออกมา ผู้บังคับบัญชาของเขาก็เป่านกหวีดเรียกรวมตัว เขากระโดดลุกขึ้นอย่าง
รวดเร็ว แล้วหันมาบอกกับฉัน
“ต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองด้วยนะ”
“อืม ไปเถอะ” ฉันตอบกลับ แล้วเขาก็ยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะวิ่งไปรวมตัวกับคนอื่นๆ แล้วขึ้นรถไป
ฉันมองตามรถคันนั้นจนลับสายตา เหมือนเมื่อครู่นี้มีแค่ฉันกับเขา แต่ตอนนี้เหลือแค่ฉันเพียงคนเดียว
“แนนไปกันเถอะ” บุ๋มเดินมาเรียกฉัน ทำให้ฉันเพิ่งนึกได้ว่าฉันยังอยู่กับเพื่อนอีกนับสิบคนที่กำลัง
มองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ฉันจึงเดินนำบุ๋มออกไปขึ้นรถโดยสารโดยไม่ได้พูดอะไรกับใครทั้งสิ้น (- -")

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 8

และแล้วก็ถึงวันที่เขาต้องไปฝึก ร.ด.แล้ว เฮ่อ ฉันรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
จะไม่ได้เห็นหน้าเขาตั้งเกือบอาทิตย์เชียวนะ เมื่อกี้เขาโทรหาฉันบอกว่ากำลังจะออก
จากบ้านมาแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงค่ำของวันอาทิตย์ เขาจะต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่
เช้ามืดของวันจันทร์ จึงต้องมานอนที่บ้านไอ้โก้ ตอนนี้ฉันก็ได้แต่นั่งใจจดใจจ่อรอเขา
อยู่ที่หน้าบ้าน บรื๋อ... หนาวจังนี่ก็เข้าสู่ฤดูหนาวแล้วสินะ ฉันจึงลุกไปในบ้านเพื่อใส่
เสื้อกันหนาวสีบานเย็นตัวโปรดของฉันแล้วออกมานั่งรอเขาอีกรอบ แล้วเขาก็มาถึงบ้าน
ของฉันพอดี
“บรื๋อ... หนาว” เสียงเขาพูดทันทีเมื่อเดินเข้ามาหาฉัน พลางถูมือไปมา
“แล้วทำไมไม่รู้จักใส่เสื้อแขนยาวมาล่ะ เดี๋ยวก็ไม่สบายเอานะ” ฉันต่อว่าเขาด้วย
ความเป็นห่วง ก็มันหนาวจริงๆ นี่นา ขับฝ่าลมหนาวมาได้ยังไง บ้านก็ไม่ใช่ว่าจะใกล้ๆ
แถมยังเป็นถนนสายหลักที่รถวิ่งกันเยอะๆ อีก
“เอาน่า ไม่เป็นไรหรอก ป่ะ ไปส่งที่บ้านไอ้โก้หน่อย” เป้งพูดอย่างไม่ใส่ใจความห่วงใย
ของฉัน ฉันจึงถอนหายใจออกมา แล้วจึงเอ่ยตอบรับ
“ไปสิป่ะ”
“แนนขับนะ เราหนาว ^ ^” เป้งพูดพร้อมรอยยิ้มที่ฉันไม่อาจขัดขืนได้สักครั้ง ฉันมอง
รอยยิ้มนั้นแล้วก็ต้องยินยอมแต่โดยดี แม้ว่าอากาศจะหนาวมากขนาดไหนก็ตาม
“อืมๆ” แล้วฉันก็ขับรถของเขาออกจากบ้านของฉันช้าๆ เพราะเขาหนาวนี่นา
(ไม่ใช่ว่าอยากอยู่ใกล้ๆ กับเขานานๆ หรอกเหรอ) ตอนแรกฉันก็อยากจะถามเขาว่า
ทำไมไม่เอารถไปไว้ที่บ้านแฟนของเขา ง่ะ.. ไม่อยากใช้คำว่าแฟนเลยอ่ะ
เอาเป็นผู้หญิงของเขาก็แล้วกัน แต่ฉันก็ไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆ อย่างนี้หรอก
ฉันจึงตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไป แล้วฉันก็รู้สึกถึงความอุ่นแผ่ซ่านที่หลังของฉัน
ฉันจึงหันไปมองดูเขา แต่ก็ต้องตกใจเพราะที่ฉันหันไปเมื่อกี้นั้น เกือบทำให้หน้าของเขา
กับฉันชนกันแน่ะ แล้วทำไมอีตาบ้านี่ต้องยื่นหน้ามาใกล้ฉันขนาดนี้ด้วยนะ ^///^ เขินอ่ะ
“นี่ ขับให้มันเร็วๆ กว่านี้หน่อยได้มั้ย หนาวจะตายแล้ว” เขาโวยวายขึ้นมา
“อือๆ” แล้วฉันก็บิดไปอย่างเร็ว ให้ทันใจเขา
“โอ๊ยๆ หนาวอ่ะ ช้าๆ หน่อยสิ” เขาร้องอีก ...เอ๋า อีตานี่ เอาใจยากชะมัด
“จะเอาไง” ฉันถามเขาเสียงเย็น เพราะฉันชักจะเริ่มอารมณ์เสียแล้วนะ
“แหะๆ เอาแบบพอดีๆ อ่ะ ^ ^” เป้งตอบพลางยิ้มแหยๆ
“ฮู้วว์ เอาใจยากว่ะ” ฉันบ่น
“ง่ะ”

และแล้วก็ถึงบ้านไอ้โก้ ว้า... ถึงแล้วเหรอเนี่ย งั้นเราก็ต้องแยกจากกันแล้วใช่มั้ย T_T
อย่าไปเลยน้าที่ร้ากกก (เว่อร์ไปละ) หมดเวลาแล้วสินะ ก็ไอ้โก้มันออกมายืนรอต้อนรับอยู่ที่
หน้าบ้านแล้วนั่น
“เฮ้ย เป้ง มึงไม่หนาวเหรอวะ แล้วมึงเอาเสื้อกันหนาวไปด้วยมั้ยเนี่ย” ไอ้โก้ถามเป้ง
“ไม่ได้เอามาว่ะ ไม่หนาวหรอกมั้ง” เป้งตอบอย่างไม่แน่ใจนัก
“เฮ้ย เค้าบอกว่าที่นั่นอ่ะ หนาวกว่านี้เยอะเลย ทนได้เหรอมึง แค่นี้ก็ปากจะเขียวแล้วนะ”
ไอ้โก้พูดต่อ แล้วเป้งก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะบอก
“ก็...กูไม่มีอ่ะ”
“เสื้อแนนนั่นไง แนนให้เป้งมันยืมได้ป่ะ” ไอ้โก้ส่งเสียงถามฉัน แต่สายตาของมันเป็น
ประกายแปลกๆ ชวนหนาวๆ ร้อนๆ ยังไงไม่รู้
“...” แต่ฉันยังเงียบ
“นี่ ยืมหน่อยสินะ น่านะ” เป้งส่งเสียงอ้อนฉัน ตอนแรกฉันตั้งใจจะถอดให้เขาได้ตั้งแต่
โก้มันถามแล้ว แต่ฉันอยากแกล้งให้เป้งขอร้องฉัน ฮ่าๆ
“อืมๆ ก็ได้ รักษาดีๆ นะ เสื้อตัวโปรดนะเนี่ย” ว่าเสร็จฉันก็ถอดให้เขา บรื๋อ... หนาวจัง
เขารับไปแล้วก็สวมเสื้อของฉันทันที เอ่อ ฉันหนาวอ่ะ
“ฮิฮิ อุ่นจัง ^ ^” ว่าพูดพลางหันมายิ้มเยาะเย้ยฉัน
“เออ อุ่นก็ดีละ กลับแล้วนะ” ฉันบอกพลางเหลือบมองเขาน้อยๆ แต่ในใจจริงแล้วฉันอยาก
จะจ้องมองเขาให้เต็มตามากกว่า
“ดูแลรถให้ด้วยนะจ๊ะ ^ ^” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม
“อืมๆ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะให้พี่ชายเอาไปยกล้อดูละกัน อิอิ” แล้วฉันก็ขับรถออกมาทันที
ไม่ทันได้ฟังเสียงก่นด่าของเขา ฉันขับรถของเขาด้วยความสุขใจ ว้าว ทำไมรถของเขามัน
บิดปุ๊บไปปั๊บอย่างนี้นะ รถแรงจริงๆ ว่าแล้วก็ขอลองรถหน่อยแล้วกันนะ แล้วฉันก็กลับถึง
บ้านอย่างรวดเร็วตามความแรงของรถ ^o^


เฮ่อ ทำไมมันเงียบเหงาอย่างนี้น้า.. เพิ่งจะผ่านไปสองวันเองนะ ตอนนี้ฉันนั่งฟังเพลง
อยู่ที่สนามบาสเพียงลำพัง มันไม่มีอะไรจะให้ทำอ่ะ รวมทั้งช่วงหลังๆ บุ๋มกับอ๊อฟก็คุยกับ
ฉันน้อยลง คงตั้งแต่ที่มีเรื่องกันอยู่ที่ร้านนมนั่นแหละมั้ง พวกเธอพยายามถามฉันว่าคนที่ฉัน
หมายถึงนั้นเป็นใคร แต่ฉันก็ไม่บอกพวกเธอ และไม่คิดที่จะบอกด้วย ยัยบุ๋มบอกกับฉัน
อย่างเคืองๆ แต่เหมือนจะเข้าใจฉันว่ามันเป็นเรื่องของฉัน ฉันเป็นคนตัดสินใจ แต่ที่ถาม
คือเพราะว่าไม่เข้าใจว่าทำไมฉันจะต้องปิดบังบุ๋ม ทั้งๆ ที่ฉันกับบุ๋มเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่
ม.ต้น และสนิทกันที่สุด ส่วนยัยอ๊อฟน่ะเหรอ คงจะมากกว่าแค่เคืองฉัน เพราะเธอเล่นไม่
พูดกับฉัน แถมบางทียังมีกระแนะกระแหนอีกต่างห่าง คงจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานก่อนล่ะมั้ง
‘ทำไมเป้งต้องเอารถไว้ให้มึงใช้ด้วยวะ’ ยัยอ๊อฟถามด้วยน้ำเสียงที่ฉันฟังออกว่าไม่พอใจ
‘กูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เค้าบอกให้ดูแลรถให้’
‘แม่ง แล้วทำไมต้องมึงด้วยวะ มึงก็มีรถใช้อยู่แล้วนี่’
‘กูมีรถใช้ที่ไหน มีแต่ตอนมาโรงเรียนน่ะสิ ตอนเย็นพี่กูก็มาเอาไป’
‘กูก็ไม่มีรถใช้เหมือนกันนี่หว่า แม่งห่าเป้ง’ เฮ่อ ท่าทางจะอิจฉาฉันล่ะสิเนี่ย
‘แล้วสองคันที่บ้านมึงล่ะ’ ฉันถาม ...เวรเอ้ย รถบ้านตัวเองก็มีตั้งหลายคัน ยังจะมาแย่งรถ
ของคนสำคัญที่เขาอุตส่าฝากฉันไว้ได้ยังไง ชิส์ ฉันไม่ยอมหรอก
‘น้องกูก็ใช้ แม่กูก็ใช้ พ่อกูอีก เห็นมั้ยกูไม่มีรถใช้เลย’ ยัยอ๊อฟพูดด้วยน้ำเสียงชวนน่าสงสาร
แต่ฉันรู้นิสัยยัยนี่ดี มันชอบเอาชนะคนอื่นเป็นที่สุด
‘อืม แต่กูคงให้มึงเอารถเป้งไปไม่ได้หรอกว่ะ เพราะเขาฝากกูไม่ใช่ฝากมึง’ ฉันตอบกลับไป
ด้วยน้ำเสียงเย็นชากว่าเก่า
‘มึงพูดอย่างนี้ได้ไงวะ กูก็เป็นเพื่อนมันนะเว้ย แค่กูจะเอามาใช้บ้างเนี่ย ไม่ได้หรือไง’
ยัยอ๊อฟเริ่มส่งเสียงดัง อย่างอารมณ์เสีย
‘เอาไปใช้ได้บ้างบางครั้ง แต่ไม่ใช่เอาไปจอดไว้ที่บ้านมึงเลย ถ้าทำอย่างนั้น เจ้าของรถเขา
จะมาว่ากูได้ แล้วกูก็รับปากเขาไปแล้วว่าจะดูแลให้เป็นอย่างดี อีกอย่างกูเคยเห็นมึงขับแล้ว
แค่ตั้งขารถ มึงยังยกไม่ไหวเลย แล้วกูจะมั่นใจได้ยังไงว่าถ้ามึงเอาไปใช้แล้วจะไม่เกิดอะไร
กับรถเขา’ ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เพราะอยากจะให้เรื่องไม่เป็นเรื่องนี้จบไปซักที
เฮ่อ ฉันไม่เคยเถียงกับใครนานขนาดนี้เลยนะเนี่ย
‘เออ จำไว้เลยนะมึง’ ยัยอ๊อฟพูดด้วยน้ำเสียงเครียด แล้วเดินจากไป
ที่ฉันยกเหตุผลทั้งหมดมาอ้างเพื่อไม่ให้ยัยนี่ตื้อฉันต่อไป ถึงมันจะดูเหมือนไม่รักษาน้ำใจ
เพื่อนแต่ฉันก็ไม่อยากผิดคำพูดที่ให้ไว้กับเขาก่อนไป แล้วฉันก็ไม่เคยมั่นใจในตัวยัยนี่เลย
ว่าจะดูแลรถให้เขาได้ เฮ่อ คิดๆ ไปก็ดีแล้วล่ะที่ฉันพูดอย่างนั้นออกไป จะได้ดัดนิสัยยัยนี่
ไปด้วย ยัยนี่ทั้งเอาแต่ใจและไม่ค่อยฟังความคิดเห็นของคนอื่น คงเพราะปกติแล้วมีแต่
คนยอมอ่อนให้เลยยิ่งได้ใจ จริงๆ แล้วฉันก็ยอมให้บ้าง เพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียง
ก็ฉันมันคนพูดน้อยนี่นา แต่บางครั้งฉันก็ไม่ยอมให้ถูกข่มเหมือนกัน ก็อย่างเรื่องรถนี่แหละ
ฉันยอมไม่ได้จริงๆ เอาเถอะ ยัยนี่โกรธไม่นานหรอก(มั้ง)


“นี่ เป็นไรน่ะแนน หน้าหงิกเชียว ไปๆ ไม่ต้องขายแล้ว ทำหน้าน่ากลัวแบบนี้
เด็กที่ไหนมันจะกล้าเข้ามาซื้อ” เสียงเจ๊บ่นฉัน ก็จะไม่ให้หน้าหงิกเป็นตะหลิวอย่างนี้ได้ยังไง
ช่วงนี้เป็นช่วงที่น่าเบื่อสุดๆ เลย ชั่วโมงสุดท้ายของวันทั้งที ก็ฉันไม่มีเพื่อนคุย ไม่มีใคร
เล่นบาสด้วย เฮ่อ แล้วฉันก็ต้องมานั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่ร้านเจ๊นี่ แถมยังโดนไล่ไม่ให้ขายของอีก
“เฮ่อ เจ๊... แนนเซ็งจะตายแล้วอ่ะ ทำไมมันน่าเบื่ออย่างนี้นะ” ฉันบ่นกระ ปอดกระแปดให้เจ๊ฟัง
“เบื่อ เพราะไม่มีหนุ่มๆ ร.ด.อยู่ข้างๆ ล่ะซี้”
“ใช่ละเจ๊ ไม่มีเพื่อนคุยเพื่อนเล่นอ่ะ อยากเล่นบาสก็ไม่มีเพื่อนเล่น”
“อ้าว พวกอ๊อฟล่ะ แล้วก็มีเพื่อนในกลุ่มอีกตั้งหลายคนไม่ใช่เหรอ”
“โหยเจ๊ เพื่อนผู้หญิงคุยยากกว่าผู้ชายอีก พูดนิดพูดหน่อยก็เคืองก็โกรธ ทีไอ้พวกนั้นด่ามันจะตาย
ยังไม่เห็นโกรธเลย ส่วนไอ้พวกผู้ชายที่ไม่ได้เป็น ร.ด.ก็ไม่ค่อยสนิท มีแต่ไอ้อ้วนคนเดียว
แต่พอเพื่อนร่วมห้องมันไม่อยู่มันก็ดูหงอยๆ ไปเหมือนกัน” ฉันพร่ำซะยาว เพื่อระบายความอัดอั้น
ตันใจให้มันหมดๆ ลงไปบ้าง
“เออ แล้วที่ต้องไปในเมืองน่ะ ไปวันไหนล่ะ” เจ๊ถามฉันเหมือนชวนคุย เพื่อไม่ให้ฉันเฉาตายก่อน
“วันจันทร์หน้านี่แหละเจ๊ ไปตั้งแต่เช้าๆ เลย”
“เออ ไปดีๆ แล้วกันล่ะ อย่าหงุดหงิดให้มันมากนัก เดี๋ยวเผลอไปฆ่าใครเขาล่ะ ฮ่า ฮ่า”
เจ๊พูดกับฉันอย่างร่าเริง
“แหม เจ๊ก็พูดเว่อร์ไป เจ๊ไม่รู้หรือไงว่าแนนเปลี่ยนไปแล้วนะ เดี๋ยวนี้แนนมีใจเยือกเย็นเป็น
น้ำแข็งแล้วนะ ^o^” ฉันบอกเจ๊
“อย่างมึงเขาเรียกว่าภูเขาไฟน้ำแข็งโว้ย บทจะเย็นก็เย็นจัด พอร้อนก็ร้อนแทบระเบิด
ดีนะมึงไม่แปลงร่างเป็นซูเปอร์ไซย่าอ่ะ ฮ่าๆๆ” เจ๊สวนกลับทันที
“...” ท่าทางเจ๊แกจะมีความสุขในการกัดฉันจริง จริ้ง เอาๆ ยอมก็ได้
“พี่แนน...” แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นระหว่างที่ฉันกำลังคิดอะไรเพลินๆ
“ว่าไงซอฟ” ฉันขานรับเมื่อเห็นว่าคนเรียกฉันเป็นใคร ซอฟเป็นผู้ชายที่มีใจเป็นหญิง
รู้จักกับฉันเพราะฉันไปช่วยอ๊อฟที่เป็นญาติกันกับซอฟขายของที่ตลาดนัด
จึงรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และยังเป็นเพื่อนซี้กับผู้หญิงของเป้งอีกด้วย
“เอ่อ พี่แนน หญิงให้มายืมรถพี่เป้งน่ะ มันจะเอาไปส่งเพื่อน” ซอฟถามฉันเสียงเบา
เหมือนไม่ค่อยกล้าพูดเท่าไหร่
“อ๋อ ได้สิ แล้วจะเอาไปเลยมั้ย คือว่าพี่ไม่มีรถกลับบ้านน่ะ พี่จะได้ให้พี่ชายมารับ”
ฉันตอบด้วยน้ำเสียงตามปกติ ส่วนเจ๊ก็มองฉันแบบแปลกๆ
“งั้นเดี๋ยวซอฟไปถามมันดูก่อนนะ” แล้วซอฟก็วิ่งไปถามเพื่อนสาวของหล่อน
แล้วก็เดินกลับมาหาฉันอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ พี่แนน มันบอกว่ามันจะเอาไปแป๊บเดียว เดี๋ยวมันเอารถมาคืนให้”
“อืม งั้นพี่รออยู่นี่นะ” แล้วฉันก็ล้วงพวงกุญแจรถให้ซอฟไป จากนั้นฉันก็กำลัง
จะคิดอะไรของฉันไปเรื่อยๆ แต่เสียงเจ๊พูดขึ้นมาก่อน
“รถเป้งมันเหรอแนน” เจ๊ถามฉันเสียงเรียบ
“จ๊ะเจ๊”
“เออ ไอ้เป้งนี่ก็แปลก แฟนตัวเองมีไม่ฝากไว้ มาฝากกับเพื่อนสาวแทน แปลกๆ นะเนี่ย อิอิ”
เจ๊พูดพร้อมหัวเราะแบบมีเลศนัย
“แปลกตรงไหนเจ๊ เป้งเค้าก็คงคิดว่าแนนไม่มีรถใช้ ส่วนแฟนเค้ามีรถอยู่แล้ว เอามาให้แนน
ใช้มันแปลกตรงไหน” ฉันตอบเจ๊เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ภายในใจฉันนี่สิ
มันปั่นป่วนอย่างบ้าคลั่ง ฉันคงกลัวว่ามันจะเป็นจริงอย่างที่ฉันพูด
“งั้นเหรอ แล้วเค้ามายืมรถแฟนตัวเองจากผู้หญิงคนอื่นเนี่ยนะ คงจะให้ความรู้สึกดีพิลึก
แถมใช้เสร็จแล้วยังต้องรีบเอามาคืนอีกด้วย หึหึ” เจ๊พูดเหมือนมีคำตอบอยู่แล้วในใจ
แต่ยิ่งทำให้ฉันคิดมากกว่าเดิมอีก ฉันเองก็ไม่เข้าใจเป้งเหมือนกัน ถ้าคิดอย่างเห็นแก่ตัวสุดๆ
แบบที่ไม่ต้องรับรู้ถึงความถูกผิดนะ ตอนนี้ฉันมีความสุขนะ บางทีฉันก็รู้สึกว่าเขาทำดีกับฉัน
มากเกินกว่าคำว่าเพื่อน แล้วบางทีเขาก็มีสายตาประกายแปลกๆ ส่งมาให้ฉัน แต่ถ้าคิดในทาง
กลับกันนะ เขามีแฟนแล้วนะ เขาไม่ควรมาทำดีกับฉันอย่างนี้ และฉันก็ไม่ควรถลำลึกไปกับเขา
มากกว่านี้อีกแล้ว บอกตรงๆ ว่าฉันรู้สึกผิดนะ ที่ต้องทำให้ใครบางคนเสียใจ
เฮ่อ ฉันควรทำอย่างไรต่อไปดีนะ ใครก็ได้ช่วยฉันคิดหน่อยสิ T_T
ฉันนั่งรอรถอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วผู้หญิงของเป้งก็เดินเอากุญแจรถมาให้ฉัน
เหมือนว่าเธอมีอะไรจะคุยกับฉัน ฉันจึงชวนคุยไปก่อน
“ถ้าหญิงจะใช้รถก็มาเอาได้เลยนะ หรือถ้าวันไหนจะใช้ทั้งวันก็บอกพี่ก่อน
พี่จะได้ให้พี่ชายพี่มารับตอนเย็น ^ ^” ฉันพยายามพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ฉันจะไม่ค่อยชอบเธอนัก แต่ตอนนี้ฉันกลับเห็นใจเธอจริงๆ
“ค่ะ เอ่อ พี่แนนคือหญิงอยากรู้ว่าทำไมพี่เป้งถึงฝากรถไว้กับพี่แนนน่ะ”
เธอถามฉันเสียงเบา แต่ไม่ยอมสบตาฉัน
“อ๋อ คือ พี่ไม่มีรถใช้น่ะ พี่ชายพี่เอาไปใช้ พี่ก็เลยยืมเป้งมันน่ะ หญิงไม่ว่าอะไรพี่ใช่มั้ย”
ฉันโกหกคำโตไป เพราะไม่อยากให้เธอไม่สบายใจไปกว่านี้
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกค่ะ แค่หญิงอยากรู้เฉยๆ งั้นหญิงไปก่อนนะ” ว่าเสร็จเธอก็เดินจากไป
ฉันไม่เคยคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวอย่างนี้มาก่อน แสดงว่าเธอคงรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้แน่ๆ
ฉันจะต้องทำยังไงต่อไป
“แนน” เสียงเจ๊เรียกฉัน หลังจากที่เงียบไปนาน
“อะไรเหรอเจ๊”
“ไม่ต้องคิดมากน่า เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเองแหละ ไปๆ ไปเก็บร้านให้อาโกได้แล้ว ตอนเย็นมา
รับเจ๊ด้วยนะ ไปกินหมูกระทะกัน เดี๋ยวเจ๊ชวนดรีมไปด้วย” เจ๊หันมาสั่งฉันเป็นชุดๆ
โดยไม่ถามความสมัครใจสักนิด เอาเถอะ ช่างนี้ไม่ค่อยไปไหนกับเจ๊แล้วก็ดรีมเท่าไหร่
ดรีมเป็นเด็กผู้ชายร่วมสังกัดของเจ๊เหมือนกันกับฉัน เขาป็นรุ่นน้องฉันสองปี
ฉันกับดรีมสนิทกันมาก ฉันรักและพยายามดูแลเขาเหมือนน้องชายแท้ๆ ของฉัน
คงเพราะฉันไม่มีน้องชายล่ะมั้ง ฉันมีแค่น้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันเท่านั้น
ส่วนดรีมเองก็แสดงออกว่ารักฉันเหมือนพี่สาวของเขาเช่นกัน

เมื่อฉันเก็บร้านให้อาโกเสร็จแล้ว ฉันก็กลับบ้านโดยไม่ลืมซื้อตับปิ้งของโปรด
ไอ้หนูจัมโบ้ไปฝากมัน เมื่อกลับถึงบ้านจัมโบ้มันก็ดีใจตามประสาหมาส่ายหางดุ๊กดิ๊ก
ไปมาน่ะนะ ออกไปข้างนอกครึ่งชั่วโมง กลับมามันก็ดีใจ เฮ้อ ยังดีนะที่ฉันมีมัน
ไม่งั้นชีวิตของฉันจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ คงไม่มีใครรอคอยฉันอย่างใจจดใจจ่ออย่างนี้
คงไม่มีใครมารับฟังคำพูดพร่ำของฉัน อ่า...ชีวิตฉันมีหมาเป็นเพื่อนจริงๆ หรือเนี่ย
หลังจากที่ให้ข้าวเย็นจัมโบ้เสร็จแล้วฉันก็ออกไปรับเจ๊ที่บ้าน

“แนนไปรับน้องด้วยนะ เมื่อกี้ดรีมโทรมาบอกว่าพี่มันเอารถไปยังไม่กลับเลย”
เจ๊บอกฉันหลังจากที่ฉันไปรับเจ๊ที่บ้าน ดรีมมีพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องอยู่คนหนึ่ง
ฉันนึกสงสารน้องชายของฉันจริงๆ พ่อแม่ของเขาเสียไปตั้งแต่เล็กๆ ตอนนี้อาศัย
กับญาติ และทางบ้านที่เขาอาศัยอยู่ด้วยไม่ค่อยเอาใจใส่เขาเท่าใดนัก พอฉันส่งเจ๊
ที่ร้านก็ตรงไปรับดรีมที่บ้านของเขาทันที
“พี่แนน เอารถกิ๊กมาขับเหรอเนี่ย” พอไปถึงบ้านดรีม เจ้าตัวก็ส่งเสียงกวนประสาท
“กิ๊กเกิ๊กอะไร พี่มีที่ไหนล่ะ นี่รถพี่เป้งเขา”ฉันบอกปัดไป
“พี่แนนๆ ดรีมขอลองขับหน่อยสิ น้าๆ พี่สาวคนสวย” อ่ะนะ อ้อนจริงๆ
“อ่ะๆ ก็ได้จ้า พูดดีๆ พี่ก็ยอมแล้วล่ะ ไม่ต้องมาชม”
“ก็พี่สาวผมสวยจริงๆ นี่นา แถมใจดีสุดๆ ด้วย เสียแต่ชอบทำหน้าโหดอ่ะ” ง่ะ ลืมบอก
ไปว่าไอ้น้องคนนี้มันขี้อ้อน แล้วก็ปากหวานเป็นที่สุด ฉันกับเจ๊จึงไม่เคยขัดใจมันได้สักที
“ว้าว รถแรงจริงๆ น่าอิจฉาพี่เป้งจัง รูปก็หล่อ บ้านก็รวย”
“ไปอิจฉาเขาทำไม เขาก็มีดีของเขา เราก็มีดีของเรา (*///*)” ฉันบอกกับน้องชายไป
แต่รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนวูบวาบยังไงไม่รู้
“ก็มันน่าอิจฉาจริงๆ นี่นา สาวๆ ก็พากันกรี๊ดกร๊าดพี่เป้ง แถมมีรถเท่ๆ ให้ขับ เสียแต่ดรีม
ไม่ชอบแฟนพี่เป้งอ่ะ หมั่นไส้พวกมัน”
“อ้าว ทำไมไม่ชอบพวกเขาล่ะ พี่ก็เห็นเค้าเฉยๆ ออกนะ” ฉันถามน้องด้วยความสงสัย
เพราะปกติน้องชายของฉันไม่ใช่คนที่จะไม่ชอบขี้หน้าใครง่ายๆ
“ก็ดรีมอยู่ห้องหนึ่ง(ห้องที่ฉลาดน้อยที่สุดนั่นเอง) พวกนั้นอยู่ห้องสิบ(ห้องคิงอ่ะนะ)
เวลาพวกมันเห็นดรีมนั่งอยู่คนเดียว มันก็พูดกระทบดรีมว่าโง่แล้วยังโดดเรียนอีก
ดรีมไม่น่าไปเฉลยความโง่ให้พวกมันรู้เลย แค่ไปขอดูการบ้านวิชาคณิตครั้งเดียวนั่นล่ะ
จากนั้นพวกมันก็ว่าแต่ดรีมโง่” ดรีมพูดอย่างมีอารมณ์ ...ก็นะ จะไปว่าอะไรพวกเขา
ก็ไม่ได้ ก็น้องชายฉันมันฉลาดน้อยจริงๆ อ่ะ
“ทีหลังก็ตั้งใจเรียนสิ วิชาคณิตก็ต้องหัดทำแบบฝึกหัดเยอะๆ เดี๋ยวก็เก่ง แล้วก็จะได้
ไม่ต้องไปยืมการบ้านเขามาลอกให้เสียศักดิ์ศรี” ฉันสอนน้องไป
“ฮ่าๆ ทำเป็นมาบอกดรีม แล้วทำยังกับพี่ไม่เคยลอกการบ้านเพื่อน” ดูมันย้อนฉัน
ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นคนขับ ฉันคงดีดมันตกรถไปแล้ว ไอ้น้องบ้า
“ไม่เคยโว้ย คนอย่างพี่ไม่จำเป็นต้องลอกใครหรอก” ฉันตอบตามความจริง
“ฮ้า จริงอ่ะพี่แนน พี่ทำได้หมดเลยเหรอ การบ้านกับแบบฝึกหัดน่ะนะ เก่งเกิ๊นน”
ไอ้น้องบ้ามันทำเสียงดูถูกฉันสุดๆ เชอะ มันรู้จักฉันน้อยไปซะแล้ว
“เฮอะ อย่างพี่น่ะนะ... ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องส่งสิวะ เรื่องแค่นี้หมูๆ ฮ่าๆ”
“ -_- ; เวรกรรม ยิ่งกว่าตูอีก” ดรีมมันพึมพำเบาๆ
“อ๊ะๆ อย่างน้อยๆ พี่ก็มีศักดิ์ศรี ไม่เคยไปอ้อนวอนขอลอกการบ้านใคร
เพราะกลัวไม่มีคะแนนกับกลัวครูว่าหรอกเว้ย”
“งั้นที่เจ๊พูดมันก็จริงน่ะสิ” ดรีมพูดหลังจากที่มาถึงร้านและนั่งที่โต๊ะแล้ว
“เจ๊พูดอะไรเมื่อไหร่” เจ๊ถามดรีม แหม... เจ๊นะเจ๊ ทีพูดกับเด็กผู้ชายแทน
ตัวว่าเจ๊ ทีกับฉันล่ะกูมึง T^T
“ก็ที่เจ๊บอกว่าพี่แนนสอบวิชาคณิตเกือบตกทุกเทอมน่ะ”
“...” อึ้งกิมกี่ค่ะ เพราะเจ๊เอาเรื่องน่าอายพวกนี้ของฉันมาเผาให้น้องมันฟัง
“ก็จริงน่ะซี้ อาจารย์คนไหนก็มาบ่นกับเจ๊ว่ามันไม่ค่อยเข้าเรียน แล้วก็ไม่ยอมส่งการบ้าน
เค้าก็จะให้มันตกน่ะสิ” เจ๊พูดกับดรีมพลางเหล่มองฉัน
“ฮ่าๆ ก็พี่แนนศักดิ์ศรีเยอะอ่ะเจ๊ ไม่ยอมลอกการบ้านเพื่อนส่งครู เลยหักดิบเอาเป็นว่า
ไม่ส่งเลย” ไอ้น้องชายของฉันมันพูดแล้วหัวเราะเยาะ
“นั่นสิเนอะ ศักดิ์ศรีมันเยอะจัด โฮะๆ” ระหว่างที่สองคนนั้นเม้าท์ฉันอย่างเมามัน
ฉันก็ตั้งหน้าตั้งตากินหมูย่างอย่างเดียว โดยไม่สนใจร่วมสนทนาแม้แต่น้อย เชอะ
อยากเม้าท์ฉันนักใช่มั้ย ฉันจะกินให้หมด ไม่เหลือให้ใครเลย ชิส์
“เฮ้ยๆ เจ๊ๆ พี่แนนกินจะหมดแล้วอ่ะ โหย ทำไมกินไวอย่างนี้อ่ะ ดรีมก็อดน่ะสิ”
เสียงน้องชายตัวดีของฉันโวยวาย เมื่อหันมาเห็นหมูในจานที่พร่องไปกว่าครึ่งแล้ว
“สมน้ำหน้า อดกินไปเลย อยากมาว่าพี่ก่อนทำไม ฮ่าๆ” ฉันหัวเราะสะใจ
“พี่แนนอ่ะ ใจร้าย ทำไมพี่สาวผมตะกละอย่างนี้ ฮืออ ” ดรีมว่าฉันพลางทำสีหน้าสลด
“นี่ ให้มันน้อยๆ หน่อย กล้าว่าพี่อย่างนี้ได้ยังไง” ฉันดุมันไป
“เฮ้อ... หยุดๆ พี่น้องสองคนนี้หนิ เอาๆ สั่งมาอีกก็ได้” เสียงเจ๊ดังขัดขึ้นมาก่อนที่
ฉันกับน้องจะเริ่มวางมวยใส่กัน
“เจ๊จ่ายนะ” เสียงฉันกับดรีมดังขึ้นพร้อมกัน
“เออ กูต้องมาเลี้ยงลูกให้คนอื่นเหรอวะเนี่ย” เจ๊รับปาก แต่ไม่วายบ่นอุบอิบ ฉันกับดรีม
จึงต้องรีบพูดเอาใจเจ๊เป็นการใหญ่
“แต่แนนก็รักเจ๊เหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ของแนนเลยนะจ๊ะ” ฉันไม่ว่าเปล่าฉันก็รีบคีบหมู
ใส่จานให้เจ๊อย่างเอาใจสุดๆ
“ดรีมก็รักเจ๊นะคร้าบ เจ๊ก็รู้ว่าดรีมกับพี่แนนไม่มีใคร ก็มีแต่เจ๊นี่แหละ แล้วอีกอย่างเจ๊ไม่มีสามี
แต่ดีแค่ไหนแล้ว มีลูกอย่างเราอีกตั้งสองคน แถมเจ๊ก็ไม่ต้องให้นม ไม่ต้องเจ็บตัวเบ่งลูก
แค่เจ๊เลี้ยงหมูกระทะนี่ยังน้อยนะเนี่ย” ดรีมพร่ำยาว หวังจะให้เจ๊เห็นใจ(ที่แท้ประจบกินฟรี
ชิชะ รู้ทันหรอกน่า) ฉันได้แต่ส่งสายตาชื่นชมไปให้น้องชายสุดหล่อของฉัน
“อืมๆ รู้แล้วๆ ไม่เห็นต้องพูดอะไรให้ซึ้งขนาดนั้นเลย น้ำตาจะไหลอยู่แล้ว” เจ๊ยิ้มกว้างพลาง
มองฉันกับน้องด้วยสายตาซาบซึ้ง
หลังจากนั้นเราสามคนก็พากินกินหมูกระทะกันอย่างเอร็ดอร่อย แล้วฉันก็ไปส่งทุกคน
ที่บ้านเรียบร้อย ฉันก็ตรงกลับบ้านทันที แล้ววันหนึ่งวันของฉันก็ผ่านไป
(^.^)

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 7

“กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลังจากที่ฉันกลับถึงบ้านได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่
เป้ง(ยันรถ)มาส่งฉัน ฉันก็กระวีกระวาดวิ่งมารับโทรศัพท์ด้วยความอารมณ์ดีที่นานๆ ฉันจะมีสักครั้ง
“อาโย๋ แนนพูดคร้า!!” ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าใครโทรมา แต่ช่วยไม่ได้ก็ฉันอารมณ์ดีนี่ ฮิฮิ ^ ^
“(รถสตาร์ทติดรึยัง)” คำถามที่ฟังดูห้วนๆ ทั้งน้ำเสียงที่ฟังคุ้นหูชวนให้หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้น
ก็ปกติถ้าไม่มีธุระจริงๆ เขาไม่ค่อยโทรมานี่นา
“เป้ง... เป้งเองเหรอ” ฉันถามด้วยเสียงที่พยายามไม่บ่งบอกความตื่นเต้น
“(อืม แล้วคิดว่าใครล่ะ เสียงเปลี่ยนเชียวนะ)”
“อ๊ะ เปล่าๆ แค่ไม่คิดว่าจะโทรมาน่ะ” ฉันตอบ
“(แล้วรถสตาร์ทติดรึยัง)” เขาถามซ้ำ
“อ่อ เรียบร้อยแล้วล่ะ เป่ากรองแล้ว สำบายมั่ก” ฉันตอบ นึกว่าเขาเป็นห่วงรถของฉัน
“(เหรอ นึกว่ายังไม่ติด พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องไปรับ กึก! ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด)” เขาวางไปแล้ว แต่ฉันสิ
ได้แต่ยืนเอ๋อ น้ำลายแทบยืด ก่อนจะนึกอยากลงไปนอนชักกระแด่ว เอาหัวโหม่งพื้นให้มันรู้แล้ว
รู้รอดไปเลย โง่บรมเลยฉัน แล้วฉันก็พลาดโอกาสทองไป เพราะความโง่ของฉันเอง
(ยัยนี่บ้าผู้ชายจริงๆ) ฮือออ TT_TT

วันนี้เป็นวันที่ฉันมาถึงโรงเรียนตั้งแต่เช้าในรอยหลายเดือนก็ว่าได้ จึงทำให้อาจารย์ที่ยืนคุม
ประตูมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ปกติเวลาที่ฉันมาเช้าที่สุดก็คือ เวลาที่เขาเริ่มเข้าแถวกัน
แล้วนั่นแหละ แต่วันนี้ฉันมาโรงเรียนตั้งแต่เช้าก็เพราะฉันอยากจะแก้ตัวกับอาที่ฉันไปจัดแผง
ขายของให้อาสายสุดๆ ในวันก่อนนั่นเอง
เมื่อฉันจอดรถเสร็จแล้วฉันก็ปีนข้ามรั้วลวดหนามที่กั้นระหว่างลานจอดรถกับโรงอาหารทั้งๆ
ที่ฉันใส่กระโปรง จึงทำให้นักเรียนชายพากันมองฉันด้วยสายตาออกแนวทึ่งๆ และสายตา
จากพวกผู้หญิงมันออกเชิงว่ากำลังแช่งให้ฉัน แบบว่าขอ ให้มันตกลงมาหน้าทิ่มลวดหนาม
หรือขอให้กระโปรงมันแหกไปเลย -*- ใช่ว่าฉันอยากจะทำตัวให้เป็นจุดเด่นหรืออะไร
หรอกนะ แค่ฉันเลือกจอดรถไว้ในส่วนที่ลึกที่ สุดของลาน เพราะมันมีร่มของต้นไม้บังแดด
ให้กับรถของฉันได้ แต่ลานจอดรถนั้นมันมีทางเข้าออกแค่ทางเดียวน่ะ ฉะนั้น สรุปได้ว่า
ฉันขี้เกียจเดินไกลนั่นเอง -_- ;
“เอ้า!! ปีนอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวจะได้ตกลงมาหน้าแหกสักวัน” เสียงเจ๊ตะโกนแซวฉัน
อันที่จริงฉันว่าเจ๊น่าจะชินกับสิ่งที่ฉันทำได้แล้วนะ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันปีนรั้ว
ถ้าให้นับไป มันก็หลายสิบครั้งแล้วล่ะมั้งฉันว่านะ
“ไม่ต้องห่วงหรอกเจ๊ หลับตาปีนยังได้เลย” ฉันคุยไปอย่างงั้นเอง เสียวๆ เหมือนกัน
แหละ เพราะปกติไม่ค่อยได้ปีนตอนใส่กระโปรงเท่าไหร่ ฉันพูดจบก็กระโดดลงจากรั้ว
ฟึ่บ!! แคว้ก!! หืม... เสียงอะไรน่ะ ฟังดูเหมือนเสียงผ้าขาด ฉันคิดแล้วจึงก้มมองดูที่
กระโปรงตัวเอง แว้กกก!! ท่าทางกระโปรงฉันจะไปเกี่ยวกับลวดหนามเข้าให้ตอนที่
กระโดดลงมา T_T ดีนะที่มันขาดเป็นทางยาวแค่ประมาณนิ้วเดียว เฮ่อ ขี้เกียจเย็บอ่ะ
“กูว่าแล้ว ไหนดูซิ ขาดจนเห็นน้องสาวมึงมั้ย” เจ๊ถามฉันด้วยความเป็นห่วงตามประสา
คนสูงอายุ ฉันก็แอบคิดนะว่า วัยขนาดอย่างเจ๊เนี่ย เป็นแม่หรือป้าฉันได้สบายๆ เลย
แต่ทำไมถึงยังเรียกแกว่าเจ๊อยู่ได้ สงสัยเพราะเจ๊แกทำตัววัยรุ่น ทั้งคำพูดและการแต่งตัว
ล่ะมั้ง เลยตัดใจเรียกป้าไม่ลง
“ตรงชายกระโปรงเอง ไม่เห็นหรอกเจ๊”
“เออ ดีแล้ว เจ๊ไม่อยากให้ลูกค้าเจ๊เสียสุขภาพตาน่ะ โฮะๆ”
“...” เจ๊กัดฉันได้แล้วหัวเราะสะใจอีก ฉันไม่อยากต่อความอะไร ฉันเลยเดินชิ่งไปหา
อะไรมาประทังความหิวในมื้อเช้านี้ ก๋วยเตี๋ยวไก่ร้อนๆ ร้านประจำของฉัน แล้วฉันก็ยก
ชามก๋วยเตี๋ยวมานั่งกินในร้านเจ๊เหมือนเดิม ระหว่างที่ฉันกำลังกินก๋วยเตี๋ยวที่แสนอร่อย
เอ่อ จริงๆ ก็ไม่อร่อยเท่าไหร่หรอก เพราะขี้เกียจปรุง ก็คนมันหิวอ่ะ แล้วฉันก็เหลือบ
เห็นผู้หญิงของเป้งกับเพื่อนสาวของเธอกำลังเดินตรงมาทางนี้ สงสัยจะมาซื้อผลไม้
จากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจมองอะไรอีกเลยนอกจากก๋วยเตี๋ยวในชาม(ก็บอกแล้วว่าหิว)

“ยัยนั่นมันมองแนนแปลกๆ นะเจ๊ว่า” เจ๊พูดเสียงเครียดขึ้นทันที หลังจากที่ผู้หญิงของ
เป้งกับเพื่อนสาวของเธอเดินจากไป พลางหลิ่วตาบอกฉันว่ายัยนั่นที่เจ๊หมายถึงนั่นเป็นใคร
“อ๋อ อ่างอันเออะเอ๊ ไอ้อากอ๋นใอ”(ช่างมันเหอะเจ๊ ไม่อยากสนใจ)
“ไม่เอาเรื่องหน่อยเรอะ ปกตินี่เห็นรุ่นน้องมันมองหน้าเป็นไม่ได้ จะลุยท่าเดียว”
เจ๊ถามฉันด้วยน้ำเสียงที่แปลกใจ
“ไอ้อ่ะ เอื่อ” (ไม่อ่ะ เบื่อ)
“แปลกนะเนี่ย” โอ๊ย!! ยัยเจ๊นี่จะยุให้ฉันไปตบเด็กนั่นให้ได้เลยใช่มั้ย แต่ถ้าไม่ใช่ผู้หญิง
คนนี้นะที่จ้องหน้าฉัน ป่านนี้ฉันเอาตะเกียบทิ่มลูกกะตา แล้วปาด้วยชามก๋วยเตี๋ยวไปแล้ว
(โหดไปมั้ยเนี่ย) แต่ตอนนี้ฉันก็ยังคงกินต่อไป
“อันไอ้อิดออก แอนอิดเองอี้ไออุ้งอะแอนอัน”(มันไม่ผิดหรอก แนนผิดเองที่ไปยุ่งกะ
แฟนมัน) ฉันตอบไปตามความรู้สึกจริงๆ ของฉัน
“นี่!! จะหยุดกินแล้วคุยกันดีๆ ก่อนจะตายมั้ย” แล้วเจ๊ก็ตวาดใส่ฉัน
“แหะๆ ได้จ๊ะเจ๊” ฉันหยุดกินเพราะก๋วยเตี๋ยวหมดพอดี แล้วรีบหันไปยิ้มหวานประจบเจ๊
เดี๋ยวแกเกิดโมโหคว้ามีดมาเฉาะหัวฉันก่อน นั่นมันคงไม่เป็นผลดีกับฉันแน่ๆ
“หมายความว่ายังไง ไปยุ่งกับแฟนเค้าก่อนน่ะ จะแย่งแฟนมันเหรอ”
“เฮ้ย!! ป่าวนะเจ๊ แค่เป้งให้แนนยืมรถกลับบ้านเฉยๆ แฟนเค้าคงไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่”
ฉันพูดแล้วก็อดเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ ก่อนฉันจะพูดอีก
“เจ๊ก็รู้นิสัยแนน แนนไม่เคยคิดจะแย่งของของใครหรอก แล้วก็ไม่เคยหวังอะไรจากคนที่
เขามีเจ้าของอยู่แล้ว”
“อืม ดีแล้วอะไรที่ไม่ใช่ของเรา อย่าไปเอามา มันบาป”
“จ๊ะเจ๊”
“แต่ถ้ามันมามองแนนด้วยสายตาอย่างเมื่อกี้อีก เจ๊ขอสั่งให้ตบมันได้เลย หรือไม่ก็แย่ง
แฟนมันมาอย่างที่มันกลัวนั่นเลย สะใจดี ฮ่าฮ่า” เจ๊พูดแล้วก็หัวเราะอยู่คนเดียว ปล่อยให้
ฉันต้องมานั่งคิด ...โห เจ๊เป็นผู้ใหญ่ประเภทไหนกันเนี่ย บอกฉันไปตบเด็ก แล้วให้แย่ง
แฟนเขาอย่างหน้าตาเฉย
“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าตบกันเพราะแย่งผู้ชาย ชื่อเสียงแนนก็ป่นปี้หมดกันน่ะสิ
แล้วไปแย่งแฟนเขาน่ะ มันไม่มีศักดิ์ศรี แนนไม่ชอบ” ฉันตอบไม่จริงจังเท่าไหร่
แต่มันเป็นความจริงที่ฉันคิดมาตลอดเวลา
“โอ๊ย ไม่ต้องห่วงชื่อเสียงหรอก เพราะมันป่นปี้ไปตั้งแต่มึงชอบทำตัวห่ามๆ บ้าๆ นั่นแล้ว
ฉะนั้นไม่ต้องรักษาชื่อเสียงหรอก ฮ่าฮ่า” เจ๊ว่าต่อทันที
“...” ฉันดูแย่ถึงขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย อาจจะเป็นเพราะฉันเป็นตัวของตัวเอง และมีความคิด
เป็นของตัวเองมากไปล่ะมั้ง ไอ้การโดดเรียน ปีนกำแพง หนีเรียนมาแอบนอนที่โรงอาหาร...ฯลฯ
เอ่อ ไล่ไปก็เปลืองเนื้อที่เปล่าๆ นั่นแหละๆ อาจเป็นเพราะอย่างนี้ล่ะมั้ง ฉันถึงไม่เคยรู้สึกว่า
มันเป็นสิ่งที่แปลกหรือผิด สิ่งที่ฉันทำมันมักจะมีเหตุผลมารองรับเสมอ ถึงแม้จะเป็นเหตุผลที่
ไม่มีใครจะเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยเหตุผลนั้นคือ ฉันไม่ได้ทำอะไรให้ใครเดือดร้อนนี่
ฉันจึงทำในสิ่งที่ฉันอยากทำ และไม่คิดจะทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ฉะนั้น จึงไม่มีใครมาบังคับ
ให้ฉันทำอะไรในสิ่งที่ฉันไม่อยากทำได้ แต่ถ้าเปลี่ยนมาเป็นขอร้องล่ะก็ ฉันจะยอมทำมันแต่
โดยดี ฉันคิดแล้วก้มลงมองชามก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ตรงหน้า อ๊ะ!! ยังเหลือลูกขิ้น กับหมูอยู่หน่อยๆ
นี่นา ว่าแล้วก็โซ้ยต่อดีกว่า
“ติ๊ง ตอง ต๊อง ติ่ง ต่อง ตอง ติ๊ง ต่อง” แล้วเสียงออดที่ฟังดูปัญญาอ่อนสุดๆ ก็ดังขึ้น เพื่อแจ้ง
ให้ทุกคนในโรงเรียนทราบว่าถึงเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติแล้ว และแล้วฉันก็กินก๋วยเตี๋ยวพร้อม
ซดน้ำหมดพอดี ฮ้า..อิ่มเว้ยยย แล้วฉันก็นั่งตบพุงน้อยๆ ของฉันด้วยความสบายอุรา ^o^
แล้วเจ๊ก็มองฉันด้วยสายตาปลงๆ เชิงเวทนาในกิริยาของฉัน ฉันได้แต่หัวเราะแหะๆ ให้เจ๊
เฮ่อ... เวลาที่ฉันมาโรงเรียนแล้วฉันรีแลกซ์สุดๆ ก็ตอนอยู่กับเจ๊นี่แหละ
“แนน อาจารย์ไมล์เดินมาทางนี้แล้ว ไปเข้าแถวเร็ว!” เจ๊กระซิบบอกฉันเสียงเครียดๆ พอฉัน
ได้ยินอย่างนั้นก็รีบคว้ากระเป๋าแล้วกระโดดข้ามรั้วด้านข้างร้านของเจ๊ออกไปด้วยความเร็วแสง
และออกไปจากโรงอาหารทันที และฉันก็เดินมาถึงแถวโดยสวัสดิภาพ
วันนี้ฉันตั้งใจมาเข้าแถวของห้องตัวเอง เพราะติดว่าเกรงใจอาจารย์จรูญจากที่คุยกันเมื่อวันก่อน
พอฉันไปเข้าแถว เพื่อนๆ ร่วมห้องก็พากันมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ มีแต่ยัยบุ๋มเพื่อนร่วมห้อง
พูดขึ้นมาแว่วๆ ว่าวันนี้นิมิตรหมายดี ท่าทางฝนจะตก หรืออะไรซักอย่าง ส่วนเพื่อนร่วมก๊วน
ของฉันน่ะเหรอ บ้างก็แซว บ้างก็ถึงกับทำหน้าเหวอไปเลยทีเดียว แต่ช่างเถอะ ไม่ได้หนักหัว
ใครนี่ จากนั้นฉันก็ยืนเก้อๆ เพราะไม่รู้จะคุยกับใครหรือไม่มีใครมาคุยด้วยก็ไม่แน่ใจ
จากนั้นฉันก็ยืนคิดอะไรไปเรื่อยๆ ที่หน้าเสาธง อาจารย์ฝ่ายปกครองกำลังพูดอะไรซักอย่าง
นี่แหละ ฉันเองก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง เฮ่อ น่าเบื่อจริงๆ
“วันนี้คิดยังไงมาเข้าแถวห้องตัวเอง ฝนตกแน่ๆ” เสียงนุ่มทุ้มของเป้งทักฉันขึ้นจนทำให้ฉัน
สะดุ้งสุดตัว ฉันจึงหันไปมองเขา เขากำลังยิ้มอย่างอารมณ์ดีให้ฉันอยู่
“ก็อาจารย์เขาขอมาอ่ะ เลยต้องจัดให้ แล้วตัวเองน่ะ ทำไมไม่เข้าแถวที่ห้องตัวเองล่ะ
หรือว่าอยากมาเรียนห้องควีน”ฉันถามกลับ
“ไม่เอาอ่ะ ขอมาเรียนห้องคิงดีกว่า จะได้เก่งที่สุดไง ^ ^”
“ห้องคิงอ่ะ มีดีแค่เรียนเท่านั้นแหละ น่าเบื่อจะตาย” ฉันบอก
“งั้นย้ายไปห้องอื่นสิ” เป้งพูดแล้วเสมองไปทางอื่น
“ย้ายห้องตอนอยู่ ม.6 นี่นะ ประสาทกลับรึไง” ฉันเลยแว้ดกลับ
“ก็ป่าว เผื่ออยากไปอยู่ห้อง 5 ^ ^” เป้งพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ห้อง 5 อ่ะนะ ไม่เอาอ่ะ เพื่อนผู้หญิงในห้องท่าทางจะเข้ากันไม่ได้” ฉันปฏิเสธไปทันที
“งั้นจะไปห้องไหน” เขาหันมาถามฉันตรงๆ
“ไม่ไปไหนทั้งนั้นล่ะ จะอยู่ห้องนี้แหละ” ฉันตอบพลางเหลือบมองเพื่อนในก๊วนหลายคน
กำลังมองมาทางฉันกับเป้งอย่างสนใจ
“ว้า นึกว่าจะอยากไปอยู่ห้องเดียวกันซะอีก” เป้งพูดเบาๆ แต่ฉันได้ยินชัด ฉันนิ่งไปสักพัก
พร้อมทั้งความยินดีและความสับสนก็พุ่งเข้าสู่จิตใจ แต่ฉันจะแสดงความรู้สึกอะไรออกไปได้
จึงได้แค่แสร้งถามเขากลับราวกับว่าไม่ได้ยินประโยคที่เขาพูดเมื่อครู่
“ว่ายังไงนะ เมื่อกี้ไม่ทันได้ฟัง” ฉันถามเขาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติที่สุด
“ป่าวๆ” เขาตอบแล้วก็มองหน้าฉันนิ่งๆ เขาจ้องฉันด้วยสายตาที่ฉันไม่เคยได้รับจากเขา
จนทำให้ฉันรู้สึกขัดเขินไปหมด แล้วเขาก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วถามฉัน
“ได้ยินว่ามาว่าเพิ่งหักอกหนุ่มมาเหรอ”
“ก็อย่างที่ได้ยิน”ฉันตอบเสียงนิ่ง
“เฮ่อ ขี้เหร่แล้วยังจะเลือกอีก อุตส่ามีคนหลงผิดเข้ามาทั้งที”
“เป้ง” ฉันส่งเสียงเรียบ เหมือนเป็นการเตือนว่า ระวังตัวให้ดีๆ
“ยังลืมรักเก่าไม่ได้หรือไง” เป้งถามฉันเหมือนไม่เรื่องสำคัญ แต่ฉันสิ คำถามนั้นมันยิ่ง
ทำให้ฉันรู้สึกแย่ เพราะพวกเขาสองคนเป็นเพื่อนกัน มันยิ่งตอกย้ำว่าฉันไม่ควรรักเป้ง
“ทำไมต้องลืม ทั้งๆ ที่ไม่ได้จำ” ฉันบอกเขาเสียงแข็ง
“เอาให้มันแน่ ตั้งแต่เลิกกับมันมายังไม่เห็นมีแฟนใหม่”
“ที่ไม่มีก็เพราะเบื่อและยังไม่อยากมี” ฉันตอบ แต่เหมือนว่าฉันเห็นอะไรที่แปลกไป
ในแววตาของเป้ง แววตาที่ดูเหมือนกำลังสับสนรึเปล่า แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“อาทิตย์หน้าต้องไปฝึก ร.ด. แล้วนะ” เขาพูดขึ้นมา แต่ไม่มองหน้าฉันอีกต่อไปแล้ว
“อืม ไปหลายวันอยู่ใช่มั้ย” ฉันถามเขาพร้อมความรู้สึกใจหาย
“ใช่ เดี๋ยวจะเอารถไว้ให้ใช้นะ” เป้งพูดขึ้นราวกับมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่ฉันก็
อดตกใจไม่ได้ รถทั้งคันจะมาฝากไว้กับคนอื่นอย่างฉันตั้งหลายวันได้ยังไง
“แล้วที่บ้านจะไม่ว่าเอาเหรอ” ฉันถามเขา
“ใครจะว่า ก็อยากจะเอาไว้นี่ หรือว่าไม่อยากเอาไว้ใช้ จะได้เอาไปฝากไว้บ้านคนอื่น”
เขาตอบอย่างเอาแต่ใจ
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ก็ได้ๆ เดี๋ยวจะดูแลให้ดีๆ เลย” ฉันบอก
จากนั้นเขาก็เดินไปที่แถวของห้องตัวเอง จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกที่เราคุยกันเป็นจริงเป็นจัง
ทุกทีนี่ต้องด่ากันก่อนถึงจะคุยกันได้ ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะมาคุยกับฉันเลย เขาเรียน
ร.ด.ปี 3 แล้วก็ต้องออกไปฝึกที่ค่ายทหาร แล้วต้องไปนอนที่ค่ายเลย เพราะเป็นการบังคับ
เฮ่อ ตั้งหลายวันแน่ะ แล้วที่เขาจะเอารถไว้ให้ฉันใช้ แสดงว่าเขาก็คงรู้ว่าฉันกับพี่แย่งรถกัน
ใช้อยู่ ส่วนมากตอนเย็นในทุกๆ วัน พี่ชายของฉันก็มาเอารถไป งั้นก็แปลว่า เขาใส่ใจฉันอยู่
เหมือนกันล่ะสิ -..- เฮ่อ ทำไมเขาต้องมีแฟนแล้วด้วยนะ ป่านนี้ฉันคงก็ปฏิบัติการได้สำเร็จ
แล้ว (อ๊ะๆ อย่าคิดมากนะ)

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 6

“แนน อาจารย์จรูญเรียกไปพบที่ห้องพักครูน่ะ” เสียงฟลุกกี้เพื่อนร่วมห้องของฉันดังขึ้น
หลังเรียนคาบสุดท้ายของวันเสร็จ
“ตอนนี้เลยเหรอ”
“ใช่”
“ขอบใจนะ”
ฉันพูดกับฟลุกกี้เสร็จก็เดินไปห้องพักครูทันที นี่มันเรื่องอะไรกันนะ ถึงต้องเรียกพบเป็นการ
ส่วนตัวอย่างนี้ ปกติก็ไม่เคยเห็นสนใจฉันเลยด้วยซ้ำ นอกจากจะแทงบอล(ฉันรับเดิน
โพยบอลให้ลุงน่ะ มันผิดกฎหมายนะ อย่าทำตามเด็ดขาด) ฉันก็คิดไปเรื่อย เดาไปมั่วซั่ว
ว่าจะเป็นเรื่องอะไร แต่เมื่อฉันไปถึงห้องพักครูก็ต้องร้องอ๋อ เมื่อเห็นใครอีกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะ
ของครูอยู่ก่อนแล้ว ...เอ๋นั่นเอง ฉันเดินไปหาแล้วไหว้อาจารย์ ก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างเซ็งๆ
“มีอะไรกับหนูเหรอคะ”
“นั่งก่อนสิ”
“ขอบคุณค่ะ ไม่นานใช่มั้ยคะ หนูต้องรีบไปทำงาน” ฉันรีบออกตัวไว้เพราะไม่อยากเสียเวลา
กับเรื่องไม่เป็นเรื่องนี่
“ไม่นานหรอก แค่อยากจะคุยด้วยเรื่องพวกเธอสองคน” อาจารย์จรูญว่า
“...”
“...”
“มีปัญหาอะไรกัน เมื่อก่อนเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เดี๋ยวนี้แม้แต่หน้ายังไม่มองกันเลย
ได้ยินมาเรื่องถึงขั้นจะตบตีกันด้วย เล่าให้ครูฟังหน่อยสิ”
“...”
“ใครบอกเหรอคะว่าหนูกับเค้าจะตบตีกัน” ฉันถามเสียงแข็ง แต่สายตาของฉันกำลังจ้องมองอยู่ที่
ยัยเอ๋ ที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่
“ใครบอกไม่สำคัญ แล้วมันจริงรึเปล่า มีเรื่องอะไรกัน” อาจารย์พูด
“เรื่องมันไม่สำคัญถึงขนาดที่อาจารย์ต้องมากังวลหรอกค่ะ แล้วอีกอย่างหนูก็ไม่เคยคิดจะไปตบตี
ใครก่อน อาจารย์สบายใจได้ค่ะ” ฉันตอบเสียงเรียบ
“...” ยัยเอ๋ยังคงเงียบ
“ไม่สำคัญ แล้วถึงกับจะกลับมาคุยกันดีๆ ไม่ได้เลยหรือไง”อาจารย์พูด
“หนูทราบว่าอาจารย์ไม่สบายใจ แต่จะเป็นอย่างนี้อีกไม่นานหรอกค่ะ”
“แนน...” เอ๋พูดโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงดีใจ
“เพราะไม่นานหนูก็เรียนจบแล้ว คงไม่ได้เจอกันอีก หมดธุระแล้วหนูลานะคะ” ฉันว่าเสียงแข็ง
แล้ว ยกมือไหว้อาจารย์ แล้วเดินออกมาทันที
เฮ่อ ฉันใจร้ายมากใช่ไหม ที่ไม่ยอมให้อภัยเธอคนนั้น แต่ถ้าฉันให้อภัยเธอ แล้วจะมั่นใจได้
ยังไงว่าเธอจะไม่ทำให้ฉันเจ็บปวดอีกครั้ง ฉันไม่เคยให้อภัยได้ใครเลยสักครั้ง ถ้าใครคนนั้น
ทำให้ฉันเจ็บปวด ฉันมักจะคิดอยู่เสมอว่า มีครั้งแรกแล้ว มันก็จะมีครั้งต่อๆไป ฉันจึงไม่เคย
ไว้วางใจใครได้อีกเป็นครั้งที่สอง ความไว้ใจของฉันมันมีแค่เพียงหนึ่งครั้ง แต่เป็นครั้งเดียว
ที่ฉันไม่เคยคิดจะเอามันคืนตลอดชีวิตของฉัน แต่พวกเขาก็ทำลายมัน ฉันกลัวที่จะต้องกลับ
มาเจ็บปวดกับมันอีกครั้ง ฉันเห็นแก่ตัวและอ่อนแอ ใช่ไหม ถ้าฉันยังคงเป็นอย่างนี้อยู่
แล้วคนรอบตัวจะหายไปจากชีวิตของฉันไหม
แหมะ! แหมะ! ซ่าๆๆๆ อ้าวเวร... ฝนตกซะได้ ฉันหยุดเดินแล้วเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอย่าง
เอาเรื่อง ก่อนจะถอนหายใจออกมา ...เอาเหอะ เซ็งๆ เดินเล่นน้ำฝนซะหน่อย โชคดีนะที่วันนี้
ฉันใส่ชุดพละ ไม่งั้นได้โป๊แย่ แต่ฝนชักจะตกแรงเกินไปแล้ว คงเดินต่อไปไม่ไหวแน่ๆ
ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจจะทำอะไรต่อไป เพราะมัวแต่มองหาที่หลบฝน
หมับ!! มือของใครคนหนึ่งมาคว้าแขนฉันไว้ แล้วก็ลากฉันไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย!!” ฉันส่งเสียงได้เพียงแค่นั้น แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าของเจ้าของมือที่แสนอุกอาจนั้น ฉัน
จึงยอมเดินตามเขาไป พลางคิดว่าในโรงเรียนจะมีซักกี่คนที่กล้ามาลากฉันจนต้องเดินตามแถๆ
ไปอย่างนี้
“อยากไม่สบายนักรึไง เดินตากฝนอยู่ได้!! -*-“ เจ้าของมือที่ว่าตวาดใส่ฉันทันทีเมื่อเข้ามา
หลบฝนที่ใต้ถุนอาคารเรียน
“ฮึก... ฮึก...” แต่ฉันตอบอะไรไปไม่ได้ เพราะฉันกำลังจะร้องไห้ จึงมีแค่เสียงกลั้นสะอื้นเบาๆ
“เฮ้ย แนน!! เป็นอะไรน่ะ ดุแค่นี้ถึงกับร้องไห้เลยเหรอ ขอโทษนะ!!” เป้งถามฉันอย่างตกใจ
“ฮึก...” จริงๆ ฉันไม่ได้โกรธเขาหรอกที่ตวาดฉัน แต่มันเป็นเพราะเรื่องที่ฉันคิดก่อนหน้านั้น
ต่างหาก มันกำลังหลอกหลอนฉัน เฮ่อ แล้วฉันจะร้องไห้ทำไมเนี่ย เมื่อคิดได้อย่างนั้น ฉันก็หยุด
ร้องไห้ทันที ก่อนจะหันมาทางเป้ง
“เปล่านี่ ใครร้อง” ฉันตอบเสียงนิ่ง
“แนนนั่นแหละร้องเมื่อกี้เห็นอยู่ นั่นตายังแดงอยู่เลย”
“บ้าป่าววะ ที่ตาแดงเพราะน้ำฝนมันเข้าตาต่างหาก” ฉันทำหงุดหงิดกลบเกลื่อนความอ่อนแอ
ของตัวเอง แล้วเป้งก็เงียบไป แต่ไม่วายส่งสายตาจับผิดมาให้
“แล้วไปเดินตากฝนทำไม” เขาถามฉันเสียงเรียบ
“ก็เดินเพลินๆ น่ะ น้ำฝนเย็นดีออก” ฉันตอบไปพร้อมทำท่าทางร่าเริงสุดๆ
“ประสาท” แน่ะ ด่าฉันอีก
“ว่าเราบ้า แล้วทำไมไม่ให้เดินต่อไปล่ะ ไปลากเราเข้ามาทำไม”
“ก็...นะ” เขาว่าแล้วก็หันหน้าหนีไปทางอื่น เมื่อไม่ได้คำตอบที่ต้องการ ฉันจึงถอดกระเป๋าเป้
ออก ก่อนจะสะดุ้งโหยเมื่อคิดอะไรได้ กระเป๋างั้นเหรอ ฮืออ หนังสือเรียนของช้านนน เมื่อเห็น
ว่ามันเปียกจนมีน้ำหยดย้อยออกมา ฉันจึงได้แต่เอามันออกมาสลัดน้ำออกอย่างปลงๆ กับชีวิต
พลางด่าตัวเอง ในใจ ...ยัยบ้าเอ้ย ยังดีนะที่ฉันฝากบางส่วนไว้ที่ร้านเจ๊ตั้งแต่เที่ยงแล้ว
“เป็นไงล่ะ อยากไปถ่ายมิวสิคเดินตากฝน ฮ่าๆ” เป้งซ้ำเติมฉันทันที
“...” ฉันไม่ตอบกลับอะไร เพียงแต่มองเขาอย่างเอาเรื่อง
“แล้วนี่ต้องไปทำงานมั้ยเนี่ย เย็นแล้วนะ” เขาถามฉันอีก
“ฮะ จริงด้วย งั้นไปแล้วนะ” ฉันเตรียมจะผละออกมา เขาก็เรียกฉันไว้ก่อน แล้วยื่นร่มคัน
สีชมพูหวานแหววสุดๆ ให้กับฉันด้วยสีหน้าแปลกๆ
“ไม่เอาหรอก รถเรามีคลัช ถือร่มไปด้วยไม่ได้หรอก” ฉันตอบไปตามความจริง ขืนฉันต้อง
ถือร่มไปด้วยมีหวังฉันต้องตื่นฟื้นสติขึ้นมาที่โรงพยาบาลแน่ๆ
“งั้นจะเดินไปส่งที่จอดรถละกัน (-_- ;)”
“มะ.. ไม่ปฏิเสธละกัน” ตอนแรกว่าจะปฏิเสธไปแต่คิดไปคิดมา ไม่ปฏิเสธดีกว่า
อันที่จริงน่ะ ฉันเดินฝ่าฝนไปเลยก็ได้ เพราะตอนนี้ฉันเปียกโชกทั้งตัวอยู่แล้ว
แต่เรื่องอะไรฉันจะยอมพลาด โอกาสที่หายากแสนยากอย่างนี้ได้ไงกัน ^o^
“...” เขากางร่มออกมา แต่เสมองไปทางอื่น ทำไม่สนใจฉันซะอย่างนั้น
“เอ่อ ร่มมันคันเล็กนิดเดียวเองนะ” ฉันทักออกไป เพราะรู้ถึงสรีระของตัว เอง
ฉันตัวสูงขนาดพอๆ กับเขานั่นล่ะ แถมไม่ใช่คนอ้อนแอ้นบอบบางสักเท่าไหร่
เพื่อนในก๊วนมากเรียกฉันว่า ยัยถึกมั่งล่ะ ยัยบึ๊กมั่งล่ะ T^T
“ก็เบียดๆ กันไปก็ได้ ไปเถอะ” แล้วฉันกับเขาก็เดินออกจากใต้ถุนตึกเรียนไปช้าๆ
ตึกตัก ตึกตัก เอาอีกแล้ว หัวใจฉันเต้นแรงยังกะจะกระโดดออกมาซะให้ได้ ฉันจะตาย
มั้ยเนี่ยถ้าเป็น อย่างนี้ไปนานๆ แต่มันเป็นความรู้สึกที่ดีจัง โรแมนติกสุดๆ
...ใต้ร่มคันเดียวกันวันฝนพรำ ฉันยังคงจดจำ ยังตรึงอยู่ในหัวใจ โว้ โว เย เย้...
พรึ้ด!! ว้าย!! ฉันลื่นเกือบจะล้มเพราะมัวแต่ร้องเพลงในใจจนไม่ทันได้มองทาง
แต่โชคดีที่ฉันคว้าแขนของเป้งไว้ทัน ไม่งั้นขืนล้มลงไปขายหน้าแย่เลย T T ว่าแล้ว
ก็อดไปมองเสี้ยวหน้าของเขาไม่ได้ หน้าเขาแดงจัง หรือเป็นเพราะสีชมพูของร่มนะ
แต่อย่างเขานี่เหรอจะพกร่ม แถมสีชมพูอีก
“สีร่มน่ารักเชียว ไม่นึกว่าจะชอบสีแบบนี้” คำถามที่ดูเหมือนคำแซวมากกว่าหลุดออก
จากปากฉัน เขามีสีหน้าที่ฉันดูไม่ออกว่าเขารู้สึกยังไง
“ร่มของน้องสาวที่นั่งโต๊ะข้างๆ น่ะ ไอ้ด้ามันยืมมาให้” เขาตอบเสียงเรียบ
“อ๋อ งั้นเหรอ นึกว่าเปลี่ยนรสนิยมจากชอบสีฟ้าไปชอบสีชมพูซะแล้ว”
“รู้ด้วยว่าชอบสีฟ้า”
“เอ่อ.. ก็ ก็เป็นเพื่อนกันไม่รู้ได้ไงว่าชอบสีไหน ถามแปลกๆ” ฉันรีบแก้ตัว
“เฮ่อ ถึงแล้ว” เป้งบอกพลางถอนหายใจ
“ขอบใจนะ” ฉันยิ้มให้เขานิดๆ แล้วสตาร์ทรถทันที
แชะ! แชะ! แชะ! ฉันสตาร์ทครั้งที่สามก็แล้ว ครั้งที่สี่ก็แล้ว มันก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะ
สตาร์ทติด แต่อย่างใด สงสัยเพราะรถเปิดกรองแน่ๆ เลย(สำหรับท่านผู้อ่านที่มีรถแต่ง
สองจังหวะน่าจะเข้าใจ) น้ำก็เลยเข้า ....ทำไงดีอ่ะ โดนอาด่าอีกแน่ๆ เลย ระหว่างที่
ฉันตีโพยตีพายในใจอยู่นั้น เขาก็ยื่นกุญแจรถของเขาให้ฉัน ทำเอาฉันเกือบสะดุ้งอีกรอบ
...อ้าว เขายังอยู่เหรอ นึกว่าเดินไปถึงไหนแล้ว ฉันจึงรับเอากุญแจรถของเขามาแบบงงๆ
“เอารถเราไปก็ได้ น่าจะสตาร์ทติด” แล้วเขาเอากุญแจกลับคืนไป จากนั้นก็เดินไปที่รถ
ของเขา แล้วจะยื่นกุญแจให้ตรูทำเท่ไรวะ -_- ; ฉันคิดอย่างงงๆ เดินตามเป้งไป
“เอารถเราไปก่อนก็ได้ เสร็จแล้วค่อยกลับมา เรารออยู่ใต้ถุนตึกนะ” เป้งบอกขณะที่จูงรถ
ของเขาออกมา ฉันจึงเดินไปรับเอารถของเขาอย่างงงๆ เขายิ้มให้ฉันทีหนึ่ง แล้วก็เดิน
จากไปพร้อมกับหัวใจของฉัน เขาน่ารักจัง =^^=

เมื่อฉันไปถึงร้านของอาก็ปรากฎว่าอาฉันได้เก็บร้านไปแล้ว อาบอกว่าเก็บร้านไปตั้งแต่
ฝนตกแล้วล่ะ ได้ยินอย่างนั้นฉันก็รีบขับรถกลับไปโรงเรียน เพราะเกรง ใจเจ้าของรถอยู่ไม่
น้อย แต่ก็แอบดีใจนิดๆ ที่ได้ขับรถของเขา สาวๆ ทั้งโรงเรียนคงอิจฉาตาร้อนฉันเป็นแน่
ที่ฉันได้ขับรถ สุดเท่ของหนุ่มฮอตอย่างเขา ว่าแล้วก็เอาซะหน่อย ฉันเลยขับร่อนไปทั่ว
เพื่อโชว์สักหน่อย แต่ฝนตกอย่างนี้ใครเขาจะมามองว่าฉันขับรถใคร(ไหนบอกว่าเกรงใจ
เจ้าของรถไงเล่า) ฉันจึงรีบบิด มอเตอร์ไซค์กลับไปที่โรงเรียน ^ ^
ฉันกลับไปถึงโรงเรียนฝนก็เริ่มซาลงบ้างแล้ว แล้วฉันก็ขับรถไปจอดทาง เดินใกล้ๆ
จุดนัดหมายของเรา อ๊าย!! คำว่าเรานี่ช่างฟังดูดีและอบอุ่นจังเลย ว่าแล้วฉันก็เดินไปหา
เขาที่ยืนมองฉันอยู่ ก่อนจะรู้สึกเสียวแปลบๆ ที่ท้ายทอยเหมือนโดนของมีคมทิ่มแทง
อ้า...ว่าแล้ว ฉันต้องโดนสายตาอาฆาตจากสาวๆ ที่อยู่แถวๆ นั้น เ อ๊ะ!! แล้วฉันก็
เหลือบเห็นผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงของเขานั่งอยู่ที่โต๊ะห่างกันออกไปไม่มากมองมาที่ฉัน
ด้วยสีหน้าบึ้งตึง แล้วฉันก็ยื่นกุญแจรถคืนให้เขา พลางส่งยิ้มที่ฉันคิดว่าสวยสุดๆ
ให้เขาไป แล้วพูดเสียงหวาน
“ขอบใจมากๆ นะเป้ง ถ้าไม่ได้รถเป้งเนี่ย แนนต้องแย่แน่ๆ เลย ^ ^” ฉันพูด
ทั้งที่จริงไม่ได้แย่อะไรเลย อันนี้เพื่อความสะใจและประชดใครบางคน อ๊ะ!! ตายแล้ว
ฉันเป็นนางเอกนะ ทำไมกิเลสเยอะอย่างนี้ ท่องไว้ๆ ฉันเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจดีๆ
(สะกดจิตตัวเอง)
“ถ้ารถสตาร์ทไม่ติดเดี๋ยวเรายันไปส่งที่บ้านให้ ^ ^” เขาบอกพร้อมรอยยิ้ม ฉันมอง
รอยยิ้มนั้น อย่างเคลิบเคลิ้ม ...กรี้ด คนอะไร หล่อแล้วยังจิตใจดีเป็นที่ซู้ดดด
“จ๊ะ ขอบใจนะ” ฉันพูด ...อี๋ ปกติฉันไม่เคยแทนตัวเองกับเขาว่าแนน แล้วก็ไม่เคยพูด
จ๊ะจ๋า อะไรอย่างนี้หรอกนะ แต่วันนี้ทำไปเพื่ออะไรสักอย่างที่ไม่อยากบอกใครให้รู้
เดี๋ยวจะหาว่าฉันเป็นนางเอกที่มีจิตใจแย่ ชิส์
และแล้วเขาก็ได้มาส่งฉันที่บ้าน แม้ว่าจะเป็นแค่การยันรถมอไซค์ของฉันมาถึงบ้านก็ตาม
แต่ฉันขอเรียกว่ามาส่งก็แล้วกันนะ(เข้าข้างตัวเองสุดๆ) ฉันก็สงสัยเหมือนกันว่าเขา
ไม่ต้องไปส่งผู้หญิงของเขาเหรอ พอฉันแย๊บๆ ถามไปก็ได้คำตอบว่า
“เขามีรถของเขา แล้วรถเขาก็ไม่ได้เสีย”
อ๋อ... เอ่อนะ ฟังดูเหมือนประชดฉันจัง แต่ช่างมันเหอะ ฉันถือว่าเขาเต็มใจช่วยเหลือฉัน
เพราะเขาไม่ยอมไปส่งใครตามคำขอร้อง แต่เขากลับมาส่งฉันโดยที่ฉันไม่ได้ร้องขอ เย้ เย ^o^

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 5

กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง! เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นอย่างระห่ำในยามเช้าตรู่ของวัน ฉันก็เลยต้องจำใจ
ลุกไปรับโทรศัพท์
“โอ้ยๆ รู้แล้วจ้า รู้แล้ว ใจเย็นๆ” ฉันบ่นพลางเดินไปรับโทรศัพท์
“(งานการน่ะ จะไม่ทำใช่มั้ย กี่โมงกี่ยามแล้วยังไม่มาอีก)” เสียงอาโกของฉันดังแปดหลอด
มาจากโทรศัพท์ ง่ะ แล้วกี่โมงแล้ววะเนี่ย คิดเสร็จก็หันไปมองนาฬิกา
“หา!!! 9 โมงแล้วเหรอเนี่ย” ฉันอุทานเสียงดัง
“(เออ ก็ใช่น่ะสิ จะเสด็จออกมาได้รึยัง)”
“ค่ะๆ เดี๋ยวรีบแต่ตัวออกไปเดี๋ยวนี้ค่ะ อาโก” แง้ ก็เมื่อคืนฉันแทบไม่ได้นอนเลยนี่นา
แล้วฉันก็รีบอาบน้ำแต่งตัวด้วยความเร็วแสง แล้วรีบบึ่งมอไซค์ออกจากบ้านทันที

ไปถึงบ้านอาโก หรือสถานที่ทำงานของฉันนั่นเอง ทุกๆ เช้า ฉันต้องมาจัดแผงขายมีด
ให้อาโก ก็เห็นอาโกยืนทำหน้ามุ่ยอยู่หน้าบ้าน แล้วต่อว่าฉันนิดหน่อย
“เร็วๆ สายแล้วนะ แล้วนี่ต้องไปโรงเรียนอีก จะถึงโรงเรียนกี่โมงกัน”
“ค่ะๆ” ฉันจึงรีบก้มหน้าก้มตาจัดแผงขายมีดอย่างด่วนที่สุด เมื่อเสร็จแล้วฉันก็รีบเดินทางไป
โรงเรียนทันที เฮ่อ แล้วนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ถูกลงชื่อผู้มาสาย แล้วก็มาไม่ทันเรียนชั่วโมงแรก
อีกต่างห่าง T^T แต่ก็ดีแล้วล่ะ ที่ฉันไม่ต้องเจอบุ๋มกับอ๊อฟในตอนเช้า เพราะสองคนนั้นคง
ซักฉันเป็นการใหญ่แน่ๆ เพราะเมื่อคืนฉันไม่ยอมรับโทรศัพท์จากใครเลย

“ชั่วโมงแรกแนนโดดเรียนเหรอ” ยัยต้นเพื่อนร่วมห้องถามฉัน
“ป่าว ตื่นสายน่ะ ทำไมถึงคิดว่าโดดล่ะ” ยัยนี่มองฉันในแง่ร้ายจัง
“ก็เห็นคาบแรกแนนโดดประจำนี่นา แล้วเมื่อเช้าตอนเข้าแถวก็มีคนบอกว่าเห็นแนนมาแล้วด้วย
อาจารย์เค้าเลยเช็คว่าแนนโดดเรียน”
“หา!!! ว่าไงนะ” ซวย ซวยสนิทละสิฉัน เฮ้อ ช่างมันละกัน เรื่องมันผ่านไปละ จะให้ไป
ถามหาว่าใครปากหาเรื่องไปบอกอาจารย์อย่างนั้นก็คงไม่มีใครยอมรับหรอก
“ช่างมันเหอะว่ะ” ฉันพูดออกไปอย่างเซ็งๆ
“เอ๋ มันเป็นคนบอกอาจารย์นะแนน” ต้นพูดขึ้นมาอีกครั้ง เพราะยัยนี่มันรู้ว่าฉันไม่ค่อยกินเส้น
กับยัยเอ๋เท่าไหร่ ทำให้ฉันลืมความคิดเมื่อกี้ไปในบัดดล เอ๋บอกอย่างนั้นเหรอ เมื่อฉันได้รู้อย่างนั้น
ฉันจึงเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปที่ห้องเรียนอย่างรวดเร็ว แล้วก็เจอคู่กรณีของฉันนั่งอยู่ในห้องพร้อมกับ
เพื่อนๆ อีกหลายคน ฉันรู้สึกว่าเพื่อนหลายๆ คนในห้องมองฉันอย่างหวาดๆ จะด้วยเหตุผลอะไร
ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่ฉันไม่สนใจหรอก เพราะสนใจยัยคนที่ให้ร้ายฉันที่นั่งหน้าซีดอยู่นั่นมากกว่า
“เอ๋ เราขอคุยอะไรด้วยหน่อย” ฉันพูดเสียงเรียบ แต่ไม่จัดว่าเบา แล้วในทันใดห้องเรียนที่เต็มไป
ด้วยเสียงอึกทึกก็เงียบสนิท ฉันสังเกตเห็นเพื่อนหลายคน บอกให้เอ๋ออกมาคุยกับฉันที่หน้าห้อง
พร้อมให้กำลังใจยัยเอ๋เต็มที่ ทำอย่างกับจะยัยนั่นจะออกมาสู่สนามรบ แล้วยัยพวกในห้อง
เห็นฉันเป็นอะไรนะ ฉันแค่จะเคลียร์ให้รู้เรื่องเฉยๆ จะพิรี้พิไรอะไรขนาดนั้น ฉันจึงส่งเสียงเร่ง
“เร็วๆ เดี๋ยวอาจารย์มา” คำพูดของฉันมันฟังดูน่ากลัวขนาดนั้นเลย ยัยเอ๋มันถึงตัวสั่นระริกเชียว
“เอ่อ .. แนน เรื่องเมื่อเช้าเอ๋ไม่ได้ตั้งใจบอกอาจารย์นะ” ยัยเอ๋รีบออกตัว
“ไม่ได้ตั้งใจแล้วไปบอกทำไม” ฉันถามเสียงเรียบ สายตาของฉันไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร
“ก็เอ๋แค่พูดกับนุชว่าเหมือนจะเห็นแนนเข้าแถวที่ห้อง 4 น่ะ แล้วอาจารย์ก็มาได้ยิน”
“แล้วทำไมต้องพูดถึงเราด้วย เราไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”
“เอ๋แค่เป็นห่วงที่ไม่เห็นแนนเข้าเรียน อย่าโดดเรียนให้มากนักเลยนะแนน”
“นั่นมันก็เรื่องของเรา เกี่ยวกันตรงไหน” ฉันพูดกับเอ๋อย่างเย็นชา จนเอ๋มีน้ำตาคลอขึ้นมา
ฉันจึงรีบเบือนหน้าหนีอย่างช่วยไม่ได้
“ทีหลังไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องมองหา แล้วก็ไม่ต้องห่วงใยอะไรทั้งนั้น”
“เรื่องที่ผ่านมาน่ะ ยกโทษให้เอ๋เถอะนะ” ยัยเอ๋ว่าเสร็จน้ำตาก็ไหลออกมาพรากๆ
ทำเอาฉันตกใจไม่น้อย แต่ก็ต้องทำเป็นไม่สนใจ
“พวกเธอทำอะไรกันน่ะ มายืนอะไรหน้าห้อง อ้าว! แนนทำไรเอ๋น่ะ”
เสียงอาจารย์ประจำชั่วโมงนี้ดังขึ้นมา พร้อมกับคำพูดที่ปรักปรำฉันทันที ฉันจึงมองหน้า
ยัยเอ๋นิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วฉันจึงเดินเข้าห้องเรียน แต่ไม่มีกะใจเรียนรู้อะไรทั้งนั้น
ขอเล่าถึงเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังหน่อยแล้วกัน ฉันกับเอ๋เป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปี
ฉันเป็นคนที่จริงใจและเชื่อใจเพื่อนมากๆ ฉันไม่เคยคิดระแวงหรือจับผิดเพื่อนของฉันเลย
สักครั้ง ตลอดเวลาฉันจะไปไหนมาไหนกับเอ๋เสมอ จนฉันรู้สึกว่าเธอเป็นน้องสาวของฉัน
ที่ฉันต้องดูแลและห่วงใยเธอมาตลอด โดยฉันไม่เคยได้รู้เลย ว่าเธอคนนั้นคิดไม่เหมือนฉัน
นินทาลับหลังฉัน พูดหักหน้าฉันหลายต่อหลายครั้ง แม้ว่าเรื่องพวกนี้ฉันไม่เคยจะใส่ใจ
เพราะถือว่าเป็นนิสัยส่วนตัวของเธอ แต่เหตุการณ์หนึ่งที่ฉันยอมรับไม่ได้ คือ เธอแอบจีบ
แฟนของฉัน และไอ้ผู้ชายเลวคนนั้นทำท่าว่าจะไปคบกับเธอ ฉันเสียใจและผิดหวังที่สุด
ฉันไม่เคยเสียดายผู้ชาย แค่เอ่ยปากว่าชอบ ฉันก็พร้อมถอนตัว แต่เธอหักหลังฉัน
ทำในสิ่งที่ฉันเกลียดที่สุด คือการโกหกและหลอกลวงฉัน จากนั้นฉันจึงเลิกคบกับเอ๋ในทันที
ที่รู้เรื่อง แต่เอ๋ก็พยายามทำดีกับฉัน ทำการบ้าน จดเลคเชอร์ให้ฉันในชั่วโมงที่ฉันโดดเรียน
แต่ฉันก็ไม่เคยคิดที่จะให้อภัยเธอเลยสักครั้ง (เหตุการณ์คุ้นๆ เหมือนใน Chapter 2 เลย)

ตึก ตึก ซ้วบ!! เสียงฉันเลี้ยงลูกบาสที่แอบไปจิ๊กมาจากห้องพละ แล้วชู้ตลงห่วงไป
อย่างสวยงาม เหงื่อฉันเริ่มออกเล็กน้อยหลังจากที่เล่นบาสคนเดียวมาได้สักพักหนึ่ง อาจารย์
หลายคนมองดูฉันแปลกๆ คงคิดว่ายัยนี่คงโดดเรียนมาเล่นบาสอีกตามเคย เฮ่อ ตอนนี้เป็น
ชั่วโมงเรียนก่อนเที่ยงที่ไม่ได้เรียน เพราะอาจารย์ไม่อยู่เลยให้อ่านหนังสือเงียบๆ ในห้องเรียน
หลังจากที่ฉันคุยกับเอ๋เมื่อเช้าแล้วโดนอาจารย์ปรักปรำ ฉันยิ่งไม่มีกะใจอยู่ในห้องที่มีบรรยากาศ
อึดอัดอย่างนั้น ฉันเลยชิ่งออกมา เห็นมั้ย ฉันไม่ได้โดดเรียนจริงๆ นะ
“อ๊ะ!!” ฉันมัวแต่คิดเพลินๆ ลูกบาสเลยหลุดมือกลิ้งออกไป แล้วก็เห็นมือใครคนหนึ่งคว้าลูกบาส
ขึ้นมา ก่อนจะหันมายิ้มให้ฉัน ทำเอาฉันถึงกับหน้าร้อนวูบ มาได้ไงเนี่ย เขาไม่เรียนเหรอวะ
“เล่นห่วยแล้วยังมาโชว์เดี่ยวอีก” เป้งพูดพลางยักคิ้วกวนๆ ให้ฉัน
“แค่ลูกหลุดมือ มันพิสูจน์ไม่ได้หรอกว่าเล่นห่วย” ฉันพูดอย่างมีอารมณ์
“งั้นมาพิสูจน์กันมั้ยล่ะ” เป้งพูดด้วยน้ำเสียงชวนหมั่นไส้สุดๆ
“ได้ งั้นมาแข่งชู้ตลูกกัน” ฉันตอบกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ หึๆ ให้มันรู้ไปว่าฉันจะแพ้ลูกชู้ตที่ฉัน
ถูกฝึกโดยพี่ชายคนเก่งของฉันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่... อีตานี่ก็เล่นบาสเก่งใช่เล่นนี่นา ถึงจะสูงกว่าฉัน
นิดหน่อยแต่คงไม่ใช่ปัญหาหรอกมั้ง ลุยโลด
“ให้แนนเริ่มก่อนละกัน ไม่อยากกดดัน” เป้งพูดด้วยสีหน้ามั่นใจสุดๆ
“หึหึ” ฉันหัวเราะในลำคอตอบกลับไป พลางคิดว่า รู้จักฉันน้อยไปซะแล้ว
ตึก ตึก ซ้วบ!! “อ่าฮะ ลงไปอีกแล้ว ว้า...” หลังจากที่ฉันชู้ตลูกสุดท้ายลงไป ฉันตั้งใจทำเสียง
อย่างชวนหมั่นไส้ เพื่อยั่วอารมณ์ใครบางคน
“ว้า เสียดายจริงๆ ที่ไม่ลงตั้ง 2 ลูก แต่ยังดีที่เข้าไปตั้ง 8” ฉันแหย่เข้าไปอีก
“...” เป้งยังเงียบแต่มองฉันอย่างเครียดๆ
ตึก ตึก เคร้ง!! “บ้าชิบ” เสียงสบถดังออกมาจากปากคนที่ท้าฉัน หลังจากที่ชู้ตลูกแรกไม่ลง
“สู้ๆ นะ ยังเหลือตั้ง 9 ลูกให้ชู้ต แต่ต้องให้ลงทุกลูกนะถึงจะชนะเรา ฮิฮิ”
“เออ” เสียงตอบรับห้วนของเป้ง บ่งบอกว่ากำลังหงุดหงิดสุดๆ
“กึกๆ” เสียงฉันกลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย หลังจากคนเก่งนั้นแพ้ฉันอย่างหมดท่า
เพราะชู้ตลงไปแค่ 5 ลูก ท่าทางจะเสียหน้าน่าดูเชียว
“2 ใน 3 ถึงเรียกว่าชนะ!!” เสียงพูดดังขึ้นอย่างเอาแต่ใจ จากคนไม่ยอมแพ้ ทำเอาฉัน
ชะงัก หืม 2 ใน 3 งั้นเหรอ
“ไม่เอา ขี้เกียจ เหนื่อยแล้วด้วย” ฉันบอก แต่พอมองดูหน้าเขาแล้วก็อดใจอ่อนขึ้นมาไม่ได้
เฮ่อ เห็นแก่หน้าหล่อๆ นั่นหรอกนะ แต่ถ้าจะให้สนุก ก็ต้องมีอะไรมาเดิมพันนิดๆ หน่อยๆ สินะ
“เออ ก็ได้ แพ้เลี้ยงข้าวนะ” ฉันบอก เป้งได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างถูกใจ แล้วบอกกับฉัน
“ได้ เตรียมเงินไว้ล่ะ”
ฉันให้เป้งเป็นคนเริ่มก่อนจะได้สนุกหน่อย แล้วในที่สุดเขาก็ชู้ตลูกลง ...8 ใน 10 เหรอเนี่ย
แย่แน่ยัยแนนเอ้ย ใจฉันเริ่มหวั่นนิดๆ ชักกลัวเสียเงิน
“หึ หึ สู้ๆ นะ” เป้งส่งเสียงเรียบๆให้ฉัน แต่แววตานั้นชอบใจสุด เหมือนคนกำลังได้ของเล่น
ชิ้นใหม่ยังไงยังงั้น
ตึกๆ เคร้ง ง่ะ ลูกแรกไม่ลง ซวยสนิท งั้นลูกที่เหลือก็ต้องลงทุกลูกน่ะสิ ถึงจะชนะอีตานี่
เอาวะ ตึกๆ เคร้ง... ฮ่า!!! สงสัยเพราะไม่มีอารมณ์จะเล่นเท่าไหร่ถึงทำให้ฉันชู้ตได้ห่วย
อย่างนี้ ฉันจึงแอบไปมองหน้าคู่ปรับของฉัน ก็พบใบหน้าที่กำลังยิ้มกริ่มอย่างไม่คิดจะปิดบัง
ฉันยิ่งหงุดหงิด ฉันเลยชู้ตลูกที่ 3 ไปมั่วๆ เพื่อจบเกมตานี้ แล้วเริ่มเกมใหม่ เกมตัดสิน!!
ฉันเป็นคนเริ่มก่อน ฉันพยายามตั้งสมาธิเต็มที่แล้วชู้ตลงห่วงไปทั้งหมด 8 ลูก
เห็นสีหน้าเป้งเรียบๆ คงเครียดที่ต้องเลี้ยงข้าวฉันล่ะมั้งถ้าเกิดเขาแพ้ขึ้นมา ตอนนี้เป้งชู้ตลงไปแล้ว
4 ลูก ไม่ลงไปแล้ว 1 เผลอแปบเดียวลงไปอีก 3 นี่ถ้าเขาชู้ตลงทั้ง 2 ลูกก็ชนะน่ะสิ เพี้ยงๆ
สาธุๆ ขอให้ไม่ลงทั้ง 2 ลูกทีเถอะ หรือไม่ก็ไม่ลงซักลูกก็ได้ อย่างน้อยก็เสมอ
ตึกตัก ตึกตัก เฮ้อ แล้วทำไมหัวใจฉันต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วยนะ ข้าวจานแค่ 20 บาทเอง
แต่ฉันคิดว่านั่นไม่ใช่สาเหตุหรอก คงเพราะฉันมองหน้าและท่าทางของเขาตอนตั้งใจชู้ตลูกมากๆ
มากกว่า สีหน้าที่นิ่งสนิท เหมือนตั้งสมาธิสุดๆ ท่าตอนชู้ตก็แสนจะเท่ระเบิด ถึงแม้ท่าทางจะดู
ไม่โปรเหมือนพี่ชายของฉันก็เหอะ แล้วฉันก็ได้เห็นรอยยิ้มโผล่มานิดๆ จากริมฝีปากสีแดงที่ท่าทาง
จะนุ่มนั้น เมื่อลูกลงห่วงไป ฮ้า!!!! ลูกลงงั้นเรอะ งั้นก็แสดงว่าเสมอกันแล้วงั้นเหรอ T_T
ยี่สิบบาทของฉัน จะสูญเสียมันไปมั้ยเนี่ย
“อีกลูกเดียว” เขาว่าแล้วหันมายิ้มให้ฉัน อย่ายิ้มสิที่รัก ฉันจะละลายแล้ว ฉันได้แต่คิดในใจ
แล้วเป้งก็ชู้ตลูกสุดท้าย เคร้ง!!! และลูกสุดท้ายก็ไม่ลง งั้นแปลว่าเสมองั้นสิ ฉันจึงหันไปมองเขา
ก็เห็นรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าดูดีของเขา แล้วเขาก็หันมาทางฉัน
“ป่ะ ไปกินข้าวกัน อ๊ะ รอแป๊บนะ เอาลูกบาสไปซ่อนก่อน” เขาหันมายิ้มร่าให้ฉันอย่างสดใส
...น่ารักจัง แล้วเขาก็ตะโกนให้ฉันถือกระเป๋าของเขาไปให้เขาด้วย จากนั้นเราก็ไปกินข้าวด้วยกัน…

“น้าคะ เอานี่ เอานี่ แล้วก็นี่ด้วยค่ะ” ฉันหันไปชี้นิ้วสั่งข้าวราดแกงกับคุณน้าขายข้าว
แต่ฉันรู้สึกถึงสายตาแปลกๆ ของเป้งที่กำลังมองฉันอยู่
“อะไร” ฉันถามเขา
“ทำไมกินเยอะจังอ่ะ (- -a)”
“ก็คนมันเหนื่อยอ่ะ แล้วก็อยากกินหลายอย่างอ่ะ จริงๆ นี่อยากกินไอ้นั่น แล้วก็ไอ้นู่นด้วยอ่ะ
แต่จานคงใส่ไม่พออ่ะ” ฉันบอกพลางชี้นิ้วไปยังถาดกับข้าวที่ฉันหมายตาไว้ แต่ก็ไม่อาจกินได้
“ประสาท”
“ว่าไงนะ!!” ฉันหันไปแว้ดใส่เขา ก่อนจะเห็นจานข้าวของเขา ฮ้า... น้อยกว่าของฉันอีก
อายจังเลยอ่ะ ฉันจึงควักหาตังเพื่อจ่ายค่าข้าวแก้เก้อ
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเลี้ยง” เป้งพูดขึ้น
“ฮ้า... เลี้ยงได้ไง ไม่ได้แพ้นี่นา”
“ก็อยากเลี้ยงอ่ะ ไม่ได้หรือไง (-_- ;)”
“เอางั้นเหรอ” ฉันถามเพื่อความแน่ใจ
“อือ เอางั้นแหละ” ว้าว โอเชโลด ได้กินข้าวฟรี แต่จะ น่าเกลียดไปมั้ยอ่ะ งั้นเอางี้ดีกว่า
“งั้นให้เราเลี้ยงน้ำละกันนะ ห้ามขัดนะ”
“อืม” เขาหันมายิ้มให้ เขินอ่ะ (*///*)

หลังจากที่เป้งจัดแจงหาที่นั่ง ฉันก็วิ่งปรู้ดไปซื้อน้ำด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
(เวอร์ไปไหมจ๊ะ) เพราะไม่อยากให้เสียเวลาที่ฉันจะได้อยู่กับเป้งสองต่อสอง อิอิ พอซื้อน้ำ
เสร็จแล้วก็รีบจ้ำอ้าว เดินกลับมาที่โต๊ะ
เฮื้อกก!! พวกมัน... พวกมันมากันตั้งแต่เมื่อไหร่ กรี้ด กรี้ด ไอ้พวกบ้าเอ้ย ฉันก่นด่าเพื่อน
ร่วมก๊วนของฉันในใจแล้วเดินไปที่โต๊ะอย่างเซ็งๆ พวกมันพากันมองฉันกับเป้งแปลกๆ บ้างก็เป็น
สายตาสงสัย บ้างก็เป็นสายตาจับผิด บ้างก็เป็นสายตาออกแนวดีใจ เอ่อ (- _- ;) นี่มันอะไรกัน
“ทำไมพวกมึงมานั่งกินด้วยกันสองคนวะ” ไอ้อ๊อฟถาม ด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลงสงสัย
“เอ่อ../...” ฉันกับเป้งยังเงียบอยู่
“...” ทุกคนยังรอคอยคำตอบอยู่
“ก็เล่นบาสกันเหนื่อยๆ เลยชวนกันมากินข้าวอ่ะ ทำไมเหรอ” ฉันตอบเสียงเรียบ ใช้สายตานิ่งๆ ข่ม
ไม่ให้พวกมันเอ่ยปากถามมากไปกว่านี้ ก็ฉันอายนี่นา (-//-)
“เล่นกันตอนไหนอ่ะ คาบที่แล้วมึงไม่ได้เรียนเหรอแนน แต่ห้อง 5 ได้เรียนนี่ พวกมึงโดดเรียน
มาเล่นบาสกันเหรอวะ” ไอ้อ๊อฟยังคงซักต่อ เหมือนว่าฉันไปทำเรื่องผิดจารีตขั้นร้ายแรงยังไงยังงั้น
“เปล่า / อืม” ฉันตอบ แล้วตามด้วยเป้ง
“หืม เป้งโดดเรียนมาเหรอ” ฉันถาม
“...”
“เห็นมันบอกว่าปวดขี้เลยขอครูออกมา มึงไปขี้ที่สนามบาสเหรอวะเป้ง” ด้าพูดขึ้นมา
“อืม / หืม / อา / อิอิ/ ฮ่าฮ่า” เสียงจากผองเพื่อน ทำเอาฉันหน้าร้อนฉ่า แล้วเพื่อนๆ
ก็แยกย้ายกันไปซื้อข้าว ปล่อยให้ฉันกับเขานั่งกันอยู่สองคน
“แถวสนามบาสมีห้องน้ำด้วยเหรอ” ฉันถามเบาๆ
“หึหึ งั้นละมั้ง” ชิส์ ไอ้บ้านี่ จะกวนประสาทฉันไปถึงไหน แต่ฉันก็อดหวังลมๆ แล้งๆ
ไม่ได้ว่าเขาอาจจะตั้งใจลงมาเล่นบาสกับฉัน จากนั้นฉันก็ก้มหน้าก้มตากิน
ถึงจะเขินสุดๆ แต่ก็มีความสุขนะ ^//^

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 4

แล้วหนึ่งวันในการเรียนของฉันก็จบลง แต่ชั่วโมงสุดท้ายเป็นคาบว่างของทุกห้องในชั้นนี่นา
ฮิฮิ ฉันคิดพลางความเมื่อยล้าจากการเรียนของฉันก็หมดไป ฉันเดินฮัมเพลง ระหว่างเดินไป
ที่ข้างสนามบาส ว้า!! ต้องเดินผ่านสามแยกปากหมาเหรอเนี่ย ไม่ชอบเลย อ๋อ ขออธิบาย
ความเป็นมาของสามแยกปากหมาซะก่อนนะ มันเป็นสามแยกที่ตัดทางเดินเพื่อไปยัง
อาคารเรียน 2 และ 3 แล้วบริเวณนั้นจะมีม้าหินอ่อนตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้มีผู้คน
มากมายไปนั่ง แล้วก็มีการแซว พูดหยอกล้อหรือด่ากับคนที่เดิน ผ่านบริเวณนั้น จึงได้ชื่อ
เรียกว่าสามแยกปากหมาด้วยประการฉะนี้ แต่ฉันก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่หรอกนะ
ระหว่างที่ฉันตั้งหน้าตั้งตาเดินผ่านสามแยกนี้ สายตาของฉันก็พลันไปเห็นใครคนหนึ่งที่นั่ง
อยู่กับเพื่อนซี้ร่วมห้องของเขา และข้างๆ เขานั้นเป็นหญิงสาวที่ได้ครอบครองหัวใจของเขา
นั่นเอง เอ่อ ทำไมฉันรู้สึกหน้าชาเหมือนจะเป็นลมขึ้นมาอย่างนี้นะ เมื่อรู้สึกได้ว่าเขากำลัง
จะหันมาทางฉัน ฉันจึงรีบหันหน้าหนีทำเป็นไม่เห็นว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้น แต่ไม่ทันซะแล้ว
“อ้าว แนน!! เลิกเรียนแล้วเหรอ” เสียงของด้าเพื่อนของเขาที่นั่งอยู่ด้วยกัน ก็ดังทักฉัน
ขึ้นมาก่อน ฉันจึงจำใจต้องเดินไปหาเขาที่โต๊ะ
“อืม เรียนเสร็จแล้ว กำลังจะไปสนามบาส ” ฉันพยายามควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น
จากนั้นฉันก็มองไปยังคนที่ทำให้ฉันเป็นอย่างนี้ เขาเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ทำไม่สนใจฉัน
ซะอย่างนั้น เมื่อเห็นอย่างนั้นฉันจึงเดินออกมา ลำคอของฉันแห้งผาก เหมือนมีก้อนอะไร
มาติดที่ลำคอ ฉันจึงเดินไปที่ร้านขายน้ำ ที่อยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุเมื่อครู่ ฉันหันไปสั่งน้ำกับคนขาย
ฉันพยายามไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองที่ที่คนคนนั้นกำลังนั่งอยู่
และเขาก็กำลังมองมาที่ฉัน ฉันจึงเบือนหน้ากลับมาทางเดิม จากนั้นฉันก็หิ้วแก้วน้ำไปยังที่ที่
ฉันตั้งใจตั้งใจจะไปตั้งแต่แรก
ตอนนี้ตัวฉันนั่งอยู่ที่ข้างสนามบาส แต่ใจของฉันมันยังอยู่แถวสามแยกที่ว่า
ฉันหันไปมองตรงนั้นอีกครั้ง ก็ยังเห็นเขานั่งอยู่ที่เดิม ขอบตาฉันร้อนผ่าว เหมือนจะร้องไห้
ฉันได้แต่พร่ำถามตัวเองว่าจะร้องไห้เพื่ออะไร ซึ่งฉันรู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว ฉันจึงหันไปที่
ตรงนั้นอีกครั้ง แต่ไม่เห็นเขานั่งอยู่ที่นั่นแล้ว แต่ผู้หญิงของเขายังอยู่ตรงที่เดิม ฉันได้แต่คิดว่า
ช่างเหอะ เมื่อตัดใจได้แล้วก็หันหน้ากลับมาที่สนามบาส แล้วตัวเองก็ต้องตกใจ เพราะเขากับด้า
มายืนอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว แต่จากเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ฉันวางหน้าไม่ถูก
“มองอะไรอยู่เหรอ เห็นมองไปทางนั้นตลอดเลย หรือว่ามองใคร” เป้งถามพลางยิ้มบางๆ
“เปล่านี่” ฉันปฏิเสธเสียงเรียบ แต่ไม่ยอมสบตาเขา
“หึ หึ” เขาหัวเราะแล้วนั่งลงข้างฉัน จากนั้นก็ถอดกระเป๋าเป้ของเขาออกแต่ไม่พูดอะไร
เป็นสถานการณ์ที่อึดอัดจริงๆ - _ - ;
“เล่นบาสมั้ย” อยู่ๆ เขาก็ถามฉันขึ้นมา หลังจากที่นั่งเงียบมาสักพัก
“ไม่อ่ะ” ฉันตอบไปแบบเซ็งๆ แล้วเขาก็ยื่นกระเป๋าของเขามาให้ ฉันก็รับไปแบบงงๆ
พลางส่งสายตาเชิงถามให้เขา
“ฝากถือไว้หน่อย - _ - ^” เขาทำหน้าเซ็งใส่ฉัน
“ทำไมต้องฝากด้วยอ่ะ วางไว้เฉยๆ ก็ไม่หายหรอก” ฉันโวยกลับบ้าง แต่เขาก็แค่หันมา
ยิ้มให้ฉัน แล้วเดินลงไปสนามบาสหน้าตาเฉย ไอ้บ้านี่!! ฉันคิดอย่างหงุดหงิดแต่ฉันก็ยัง
ถือกระเป๋าของเขาไว้ในมือ มองกระเป๋าแล้วฉันก็ยิ้มออกมา เฮ้ย!! ยิ้มบ้าอะไรวะ บ้าจริง
แค่เขาใช้ฉันถือกระเป๋าให้แค่นี้ถึงกับยิ้ม แล้วถ้าเขาใช้ฉันไปขัดขี้ไคลให้เขานี่ฉันจะไม่กรี๊ดสลบ
ไปเลยเหรอเนี่ย บ้าเอ้ย!! ฉันด่าตัวเองเสร็จ เลยปากระเป๋าบ้านั่นลงที่โต๊ะอย่างหงุดหงิด

“นั่งทำไรคนเดียว ไม่ไปเล่นบาสกับเขาล่ะ อาบุ้ง” เสียงของด้าดังขึ้นทำให้ฉันสะดุ้งตกใจ
มันมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ
“นั่งไปเพลินๆ น่ะ” ฉันตอบไปสั้นๆ อย่างไม่ได้ใส่ใจกับสายตาแปลกๆ ของด้าที่ส่งมาให้ฉัน
“ทำไมดูหงุดหงิดจังฮะ อาบุ้ง” ด้าถาม เฮ้อ อีตานี่ก็อะไรไม่รู้เรียก อาบุ้งๆ อยู่นั่นแหละ
ฉันเคยถามเขาว่าทำไมเรียกฉันอาบุ้ง เขาบอกว่าฉันหน้าเหมือนคนที่แสดงเป็นอาบุ้ง ในละครเฮงๆ
อะไรนี่แหละ ฉันไม่เคยดู ตอนแรกฉันก็แอบดีใจนะที่มีคนว่าฉันหน้าคล้ายดารา แต่พอเปิดไปดู
ละครที่ว่าก็ผิดหวังนิดหน่อย ดูไปยัยนั่นก็หน้าตางั้นๆ ล่ะ เฮ่อ!!
“เปล่านี่ หงุดหงิดตรงไหน -*-” ฉันตอบ
“ปกติอาบุ้งไม่ค่อยมานั่งนิ่งๆ ทำหน้าบอกบุญไม่รับอย่างนี้นี่นา”
“ก็หน้าเราเป็นอย่างนี้แต่ไหนล่ะ ไม่ต้องเดาหรอก”
“...” ไอ้ด้า (ขอเรียกไอ้ละกัน ก็อยากมายุ่งจุ้นจ้านกับฉันทำไมล่ะ) มองตาฉันเหมือนจะค้นหา
อะไรซักอย่าง ฉันเองก็ไหวตัวทันรีบปรับสีหน้าและสายตาให้เรียบเฉย
“เฮ่อ” เสียงไอ้ด้าถอนหายใจ
“...”
“แนนว่าผู้หญิงน่ารำคาญทุกคนมั้ย” ด้าถามฉันเสียงเรียบ แถมไม่เรียกฉันว่าอาบุ้งด้วย
แสดงว่ากำลังเข้าสู่โหมดจริงจังสินะ
“แล้วด้ารำคาญเรามั้ยล่ะ” ฉันถามกลับ
“เปล่า”
“งั้นก็แสดงว่า ผู้หญิงไม่ได้น่ารำคาญไปซะทุกคนหรอก”
“แต่เห็นผู้หญิงของไอ้เป้งแล้วรำคาญแทนมัน” ด้าตอบกลับ ...หืม ผู้หญิงของเป้งอย่างงั้นเหรอ
“น่ารำคาญตรงไหน ก็เห็นเขาคุยกันดีออก” ฉันเห็นด้วยกับด้าว่าผู้หญิงของเป้งนั่นทำให้ฉัน
รำคาญสายตาเอามากอยู่เหมือนกัน แต่ฉันแสร้งถามด้าไปอย่างนั้น ทั้งที่จริงฉันอยากรู้เรื่อง
ความรักของเขาจะตายอยู่แล้ว
“แนนรู้มั้ยว่าไอ้เป้งมันโดนยัยนั่นตื้อ”
“งั้นเหรอ ไม่เห็นเคยรู้ ” ฉันตอบเสียงนิ่งแต่ในใจกลับเต้นรัวเพราะได้รู้เรื่องของเขา
“มันแค่หวั่นไหวไปกับยัยนั่นเพราะมันไม่มีใครต่างหากล่ะ” ด้าบอก
“...” ฉันยังเงียบ พลางครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ของความรักของฉัน
“ช่วงนี้ไม่เห็นอาบุ้งมีแฟน” ด้าถามแล้วมองฉันยิ้มๆ
“เออ แล้วมันผิดปกติมากเลยเหรอ ที่เราจะไม่มีแฟนน่ะ” ฉันตอบอย่างหงุดหงิด
“ได้ยินว่าเพื่อนป๊อบปี้มาชอบนี่นา ไม่สนใจเหรอ”
“ไม่-สน-ใจ” ฉันเน้นแต่ละคำหวังให้มันซึมลึกเข้าไปในหัวของคนถาม
“ไม่สนจริงอ่ะ ได้ยินว่าตื้อมานานแล้ว ไม่ใช่เหรอ”
“แล้วไง เรื่องของมันสิ!!” เส้นอารมณ์ของฉันชักใกล้จะขาดเต็มที
ไอ้ด้าคงรู้ว่าฉันกำลังหงุดหงิดอย่างเต็มกำลังแล้ว จึงทิ้งประโยคนี้ไว้ให้ฉัน
“คงรอใครสักคนอยู่สินะ อาบุ้ง” ประโยคที่ฟังดูธรรมดา แต่สายตาของมันที่แสดง
ออกมานั้นส่อแววนัยๆ ว่า รู้ทันนะ เอื๊อกส์ ไอ้ด้าแสร้งถอนหายใจแล้ววางเป้ลง
จากนั้นเขาก็ไปเล่นบาสกับคนที่เพิ่งโดนเพื่อนเอามาเผาไปหมาดๆ แล้วฉันก็ต้องนั่ง
อยู่คนเดียวอยู่กับหัวใจที่แสนจะว้าวุ่นของฉัน ฮือออ TT_TT

แล้วผู้ชายที่ชื่ออู๋คนนั้นก็ช่างตื้อจริงๆ ไม่ว่าฉันจะไปไหน ทำอะไรอยู่ที่ไหน
เหมือนว่าเค้าจะรู้ไปซะหมด ให้ฉันเดานะ ยัยบุ๋มนั่นแหละที่เป็นสปายให้เขา แล้วยังหา
ทางทุกวิถีทางให้เขามาเจอฉันอยู่บ่อยๆ อย่างวันนี้อีกเช่นกัน ฉันชวนบุ๋มกับอ๊อฟไปนั่งที่
ร้านนม แต่ฉันกับอ๊อฟมาถึงที่ร้านก่อนแล้ว ส่วนบุ๋มก็เป็นไปอย่างที่คาด เธอหนีบเอา
สองหนุ่มแฟนแล้วก็เพื่อนแฟนตัวเองมาด้วย แถมยังจัดแจงให้เขามานั่งข้างๆ ฉันอีกด้วย
ฉันจากที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว เลยกลายเป็นไม่พูดอะไรเลย ส่วนไอ้คนที่เสนอหน้ามานั่งข้างฉัน
พอเห็นฉันนั่งเงียบก็เลยถือโอกาสชวนฉันคุย
“แนนมาร้านนี้บ่อยเหรอ เรามาบ่อยแต่ไม่เคยเห็นแนนเลย” อู๋ถาม
“ปกติเราไปแต่ร้านเหล้า ร้านนมบรรยากาศน่าเบื่อ” ว่าแล้วฉันก็เอาส้อมจิ้มฉึกเข้าที่ขนมปัง
แล้วยัดใส่ปากของตัวเองอย่างรุนแรง เป็นการแสดงออกว่า ฉันนอยด์เต็มที่
“ถ้าแนนชอบไปร้านเหล้า งั้นวันหลังเราไปด้วยกันมั้ย” อู๋ถามพร้อมรอยยิ้ม
“เห็นบุ๋มบอกว่าไม่กินเหล้าไม่ใช่เหรอ แล้วจะไปทำไม” ฉันตอบกลับ
“...” อู๋ฟังฉันแล้วเงียบไปทันที
ยัยบุ๋มกับป๊อบปี้คงเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศมาคุระหว่างอู๋กับฉัน จึงชวนคุยเรื่องอื่นไป
แต่ก็ไม่วายเรื่องนายอู๋เพื่อนรักของพวกมัน
“แปลกนะเนี่ยที่วันนี้แนนชวนมาร้านนม” ป๊อบปี้ถามฉัน
“ก็เซ็งๆ” ฉันตอบสั้นๆ
“เซ็งอะไรเหรอ คนไร้แฟน รึว่าเหงา บอกให้มีแฟน ก็ไม่ยอมมี” ป๊อบปี้พูดต่อ
“ก็ยังไม่อยากมีใคร”
“งั้นดูๆ ไปก่อนก็ได้นี่ ถ้าใช่ก็ค่อยคบ ใครบางคนแถวๆ นี้รอได้นะ”
“ไม่อยากให้ความหวังใคร ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ใช่ ก็ปล่อยให้เขาไปหา
คนใหม่ที่รักเขาไม่ดีกว่าเหรอ” ฉันว่าเสร็จก็ขยับตัวจะลุกขึ้น แต่โดนมือของคนที่ฉัน
เพิ่งปฏิเสธไปกลายๆ เมื่อครู่ดึงให้ฉันนั่งลงอีกครั้ง เพื่อนๆ ของฉันทุกคนต่างทำหน้าตกใจ
ฉันเองก็ตกใจไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้ เพราะปกติแค่มองหน้าฉันตรงๆ เขาก็ยังไม่กล้า
ฉันมองหน้าเขานิ่งๆ แต่ก็ยอมนั่งต่อ คุยให้จบๆ กันไปเลยก็ดี
“มีอะไรเหรอ” ฉันถามอู๋เสียงห้วนๆ
“ยังไม่ดูเลย แล้วแนนมั่นใจได้ยังไงว่าเราไม่ใช่” อู๋พูดเสียงนิ่ง แล้วมองหน้าฉัน
แต่สีหน้าของเขาฉันมองออกว่าเขากำลังเจ็บปวด นั่นมันทำให้ฉันรู้สึกผิด
“เรามั่นใจว่าอู๋ไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับเรา” ฉันมองหน้าเขาและพูดอย่างจริงใจ
“ต้องเป็นแบบไหนถึงจะเรียกว่าใช่” เขาพูดต่อ เสียงเขาสั่นและเหมือนว่ากำลังจะร้องไห้
“บอกไม่ได้ แต่เรารู้แค่ว่าเราชอบอู๋ไม่ได้” ฉันเริ่มลำบากใจในการตอบ
“ขอเหตุผลหน่อยได้มั้ย เราชอบแนนมานานมากๆ แต่แนนตัดสินเราแค่ในช่วงไม่กี่เดือน
นี่เหรอ” แล้วน้ำตาเขาก็ไหลออกมา ป๊อบปี้จึงรีบลุกมาปลอบเพื่อนตัวเอง แล้วส่งสายตาเชิง
ตำหนิมาให้ฉันส่วนบุ๋มกับอ๊อฟนั้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเต็มที
“เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินใครทั้งนั้น มันอยู่แค่ว่าใช่กับไม่ใช่ ความรู้สึกมันบอกอย่างนั้น และเรา
ชอบใครไม่ได้อีกแล้ว อย่าหวังอะไรจากเราอีกเลย” ฉันพูดเสียงดังด้วยความคับข้องใจทั้งหมด
“ทำไมแนนถึงบอกว่าชอบใครไม่ได้อีกแล้ว แนนมีแฟนใหม่แล้วเหรอ ทำไมบุ๋มไม่รู้” บุ๋มซัก
“มีแล้ว แต่เค้าอยู่ในใจ บอกใครไม่ได้” ฉันตอบได้แค่นั้น เพราะฉันกลัวว่าหากฉันพูดออกไป
แล้วฉันจะสูญเสียเขาไป
“เพื่อนกัน ทำไมบอกกันไม่ได้” อ๊อฟพูดเสียงแข็ง
“บอกไม่ได้ก็คือบอกไม่ได้” ฉันพูดเสร็จแล้ววางเงินไว้ที่โต๊ะแล้วเดินออกจากร้าน
แล้วก็ได้ยินเสียงอู๋ตะโกนตามหลังฉันมา
“ชอบเขาข้างเดียวใช่มั้ยล่ะ แล้วรู้สึกยังไงล่ะ มันเจ็บปวดใช่มั้ย แนนเข้าใจเรารึยัง!!”

จากนั้นฉันก็มุ่งหน้ากลับบ้านด้วยความรู้สึกที่แย่สุดๆ นี่ฉันทำร้ายจิตใจของใครหนึ่งคน
แล้วกำลังจะทำร้ายจิตใจของใครอีกหลายๆ คน ฉันมั่นใจว่าถ้าฉันบอกเรื่องนี้กับบุ๋ม บุ๋มคงไม่ขัดข้อง
แต่ถ้าบอกกับอ๊อฟ ยัยนี่คงโกรธฉัน และไม่เข้าใจฉันแน่ๆ ฉันคิดอยู่เสมอว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม
มันควรอยู่อย่างเปิดเผย และไม่ควรหลบซ่อน ฉันจึงไม่เคยลังเลที่จะบอกรักใครก่อน แต่คราวนี้มัน
ไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่หัวใจของฉันมันอึดอัดจวนจะระเบิดอยู่แล้ว นี่คงเป็นครั้งแรกของฉันที่เหตุผล
มันอยู่เหนือความรู้สึก ฉันจะมีโอกาสได้พูดคำนี้กับเขามั้ยนะ ‘แนนรักเป้ง’
พอฉันกลับถึงบ้าน ฉันไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกแย่ๆ พวกนี้ยังไง ฉันได้แต่นั่งคุยกับไ
อ้จัมโบ้(หมาน่ะ) ถึงมันจะไม่เข้าใจที่ฉันพูด แต่เหมือนมันจะตั้งใจฟังคำพูดของฉัน
“เป็นหมานี่มันต้องมีอะไรให้ลำบากใจในมั้ย จัมโบ้”
“หงิงๆ แหะๆ ^ ^”
“ถ้าเป็นหมาแล้วไม่ต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ อย่างนี้ ชาติหน้าไปเกิดเป็นหมากับจัมโบ้ดีกว่าเนอะ”
ฉันพูดพร้อมกับลูบหัวมันเบาๆ
“หงิงๆ”
“เอ็งเคยอยากบอกรักใครสักคนนึงจนใจจะขาดแต่บอกไม่ได้มั้ยวะ ทำไมมันถึงทรมานอย่างนี้นะ”
“...”
“เฮ่อ เป็นหมานี่ดีเว้ยยย เนอะโบ้” ฉันได้ระบายออกมาบ้างแล้วก็รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย
จากนั้นก็ไปอาบน้ำ เตรียมตัวนอน แล้วคืนนี้ฉันจะนอนหลับมั้ยเนี่ย -_- ;

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 3

ฉันนั่งเล่นกีต้าร์อยู่หน้าบ้าน ตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็น ร้องเพลงไปคนเดียวตามประสาสาวเปลี่ยวอย่างฉัน
แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ตอนนี้ฉันกำลังมีอารมณ์ศิลปินเต็มที่ แหกปากร้องเพลงและเล่นกีต้าร์
เพี้ยนๆ โดยไม่สนใจที่จะลุกไปรับโทรศัพท์แต่อย่างใด แต่พอเสียงโทรศัพท์ตื้อนานๆ เข้าฉันก็จำใจ
ต้องวางกีต้าร์ตัวโปรดลงด้วยอารมณ์หงุดหงิด พลางก่นด่าโคตรของคนโทรมาอยู่
“เออ ว่าไง” ไม่รู้ล่ะว่าใคร แต่ฉันแสดงออกเต็มที่ล่ะว่ากำลังหงุดหงิดสุดๆ
“(ทำไมรีบกลับจัง ยังคุยไม่รู้เรื่องเลยนะ อู๋มันหน้าเสียเลยนะแนน)” เสียงยัยบุ๋มนั่นเอง
...คงกลัวว่าฉันจะหาแฟนไม่ได้จริงๆ สินะ มันถึงทำกับฉันอย่างนี้
“เรื่องของมัน” ฉันตอบกลับเสียงห้วน
“(เอ่อ แนนรู้มั้ยว่ามันแอบชอบแนนมานานมากแล้วนะ)”
“เหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นรู้”
“(งั้นเขาจะเรียกว่าแอบเหรอ ถ้าแนนรู้น่ะ)”
“...” ฉันเงียบแต่ในใจก็คิดว่า เออ จริงของมัน
“(สงสารมันหน่อย วางแผนเจอแนนครั้งแรกก็พังไม่เป็นท่า มันอุตส่าห์ขอร้องบุ๋มกับป๊อบปี้
ให้พาแนนมาให้ได้)” บุ๋มพยายามกล่อมฉัน
“อ๋อ ที่แท้ก็ตั้งใจจะหลอกกันใช่มั้ย!” ฉันเริ่มโมโหแล้วนะ
“(โธ่แนน บุ๋มขอโทษนะ บุ๋มแค่หวังดี กลัวแนนเหงา)”
“ไม่มีแฟนน่ะ มันไม่ถึงกับทำให้ตายหรอกนะ” ฉันตอบกลับอย่างมีอารมณ์
“(บุ๋มขอโทษนะแนน)”
“เออๆ จะลองเอาไปคิดดู แค่นี้นะ” ฉันตัดบทในทันที
“(บุ๋มให้เบอร์แนนกับเขาไปแล้วนะ)”
“หา!! ไอ้..” ยังไม่ทันได้ด่า มันวางสายไปเสียก่อน เฮ่อ เพื่อนหนอเพื่อน อยากจะบอกมัน
ว่าฉันจะรักคนอื่นได้ยังไงกัน ในเมื่อเขาคนนั้นครอบครองหัวใจของฉันไปทั้งดวงแล้ว แต่เรื่อง
ระหว่างฉันกับเขามันคงเป็นไปไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ควรอย่างเป็นที่สุด ไม่ใช่แค่
เหตุผลที่ว่าเราเป็นเพื่อนสนิทกันหรอกนะ แต่เขาเป็นเพื่อนสนิทของแฟนเก่าของฉันอีกด้วย!!
มันจึงเหมือนสิ่งที่ตามหลอกหลอนฉันอยู่ตลอดเวลาเมื่อฉันเห็นเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน
ถ้าฉันบอกรักเป้งไป แล้วใครๆ จะมองว่าฉันเป็นผู้หญิงประเภทไหน ที่ไปแอบรักได้แม้
กระทั่งเพื่อนของแฟนเก่า
หลังจากที่คุยกับบุ๋มเย็นวันนั้น นายอู๋ก็โทรมาหาฉันทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง
ฉันก็คุยกับเขาบ้าง เขาพยายามชวนให้ฉันออกไปข้างนอกกับเขาตั้งแต่วันแรกๆ ที่ได้คุยกัน
แต่ฉันปฏิเสธทุกครั้ง เขาจึงขอมาหาฉันที่บ้าน ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ดันมาเจอแจ๊คพ็อต
เพราะเขามาเจอพี่ชายที่มาเยี่ยมฉันโดยบังเอิญ แล้วก็ถูกพี่ชายฉันถามว่า
“บ้านตัวเองไม่มีให้อยู่หรือไง” แค่นั้นล่ะ เขาก็เผ่นกลับบ้านแทบไม่ทัน คงเกรงกลัวอิทธิพล
และกำปั้นของพี่ชายฉันน่ะสิ พี่ของฉันเป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าหวงน้อง สาวสุดๆ อ้อ นี่ก็เป็นอีก
สาเหตุหนึ่งที่ฉันคบกับใครได้ไม่นาน เพราะพี่ชายฉันเล่นไปอาละวาดให้ฉันขายหน้ามาแล้ว
หลายต่อหลายครั้ง บางคนที่พี่ชายฉันไม่ชอบขี้หน้ามากๆ แล้วไม่ยอมเลิกกับฉันดีๆ ก็ถึงกับ
ใช้กำลังกันเลยทีเดียว โธ่ ผู้ชายที่น่าสงสารของฉัน แต่หลังจากที่พี่ชายของฉันแต่งงานก็ได้ลด
ดีกรีความดุลงบ้างแล้ว และเริ่มปล่อยให้ฉันได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง
แม้ว่าอู๋เขาจะกลัวพี่ชายฉันมากขนาดไหนก็ยังพยายามโทรมา แล้วกระซิบถามฉันว่า
พี่เธออยู่มั้ย ไอ้หงอยเอ้ย!! คุยโทรศัพท์แท้ๆ จะกลัวใครได้ยิน เพียงแค่นี้แหละฉันก็ตัดสินใจ
ไม่คบกับเขาเป็นแฟน แม้เขาเองจะยังตามตื้อและยังจะหวังอยู่ก็ตาม


วี้ หว่อ!! “คุณจุฑาทิพย์ เมื่อจอดรถของคุณเสร็จแล้วเข้ามาหาผมที่ห้องหน่อย”
เสียงหวอกับเสียงที่ดังผ่านทรโข่งนั้นฟังดูคุ้นๆ ชอบกล อึ๋ย!! อาจารย์ฝ่ายปกครองจอมโหด
เรียกฉันไปพบทำไมกันเนี่ย ...ไม่นะ! ไอ้ตอนเมื่อวานที่แอบโดดกำแพงเข้าโรงเรียน
ฉันก็มองดีแล้วว่าไม่มีอาจารย์อยู่แถวนั้น เอ๊ะหรือว่าตอนที่ฉันโดดเรียนแล้วแอบไปนอนที่
โรงอาหารก็ไม่มีอาจารย์นี่นา ในใจของฉันก็เริ่มคิดไปสารพัดว่าฉันไปทำความผิดให้แกเห็น
เมื่อไหร่ เมื่อเตรียมใจได้แล้ว ฉันก็รีบกุลีกุจอจอดรถแล้วเดินมาที่ห้องฝ่ายปกครอง ฮืออ
ทำไมแกชอบทำให้ฉันขายขี้หน้าจังนะ ไม่เห็นต้องใช้ทรโข่งเลย อยู่ห่างกันแค่ 3 เมตรเอง
คนอื่นๆ ที่อยู่ในลานจอดรถเลยได้ยินกันหมด ขายหน้าชะมัด เอาวะ ใช่ว่านี่จะเป็นครั้งแรก
ที่เราขึ้นฝ่ายปกครองซะหน่อย ไอ้แนนซะอย่างขึ้นฝ่ายปกครองเป็นสิบๆ ครั้ง ก็รอดมาได้
ทุกครั้ง สู้ๆ ฉันให้กำลังใจตัวเองเสร็จสรรพ ก็มาถึงประตูห้องปกครอง
ก๊อกๆ “สวัสดีค่ะอาจารย์ มีอะไรเหรอคะ” ฉันถามอาจารย์เสียงใส พร้อมปั้นหน้าทำตา
ใสซื่อบริสุทธิ์สุดๆ ให้อารจารย์ที่ยังคงก้มหน้าทำงานอยู่โดยไม่มองฉันสักนิด
“เมื่อวานมาโรงเรียนกี่โมง คุณจุฑาทิพย์” อาจารย์เข้าเรื่องทันที ว่าแล้วเชียวต้องเป็นเรื่องนี้
“เอ่อ ประมาณเก้าโมงครึ่งมั้งคะ” เมื่อฉันรู้สภาพแล้วก็ต้องยอมรับความจริงไปในที่สุด
“ทำไมมาสาย แล้วเข้ามาโรงเรียนยังไง”
“ก็คาบแรกหนูไม่มีเรียนค่ะ แล้วก็ปีนรั้วเข้ามาค่ะ เพราะไม่อยากถูกจดชื่อน่ะค่ะ” ฉันยอมรับ
ไปแต่โดยดี เหมือนว่ามันไม่ใช่ความผิดยังไงยังงั้น แต่ดูตาของอาจารย์สิ เขียวปั๊ดเลย ฮือออ
“โดนจดชื่อไปกี่ครั้งแล้ว”
“เอ่อ...หนูไม่เคยนับอ่ะค่ะ -_-”
“จะบอกให้ว่าเธอโดนจดแล้ว 7 ครั้ง ในเทอมนี้”
“หา...7 ครั้งเลยเหรอคะ!! ” ฉันอุทานเสียงดัง อาจารย์จึงเหลือบมองฉันหน่อยๆ แล้วพูด
“ครูมีกล้องส่องทางไกลนะ แล้วไอ้เสื้อพละสกรีนเบอร์ 16 น่ะ ก็มีแค่เธอคนเดียวในโรงเรียน
แล้วไอ้เสื้อพละที่สกรีนเบอร์น่ะ ก็มีแค่กลุ่มพวกเธอกลุ่มเดียวเหมือนกัน” อาจารย์ว่าแล้วก็
ถอดแว่นออก และหยุดทำงานแล้วเปลี่ยนมามองหน้าฉันตรงๆ แทน
“ =_= ;” เอ่อ คือว่าอึ้งค่ะ พูดไม่ออกเลยทีเดียว เดียวนี้ฝ่ายปกครองถึงกับมีกล้องส่อง
ทางไกลแล้วเหรอฟะเนี่ย โอ้ว แม่เจ้ายอดจริงๆ
“เฮ่อ ครูเหนื่อยใจกับเธอจริงๆ แนน ครูรับปากกับพ่อเธอว่าจะดูแลเธอให้ดีๆ รู้ใช่มั้ยว่าพ่อเธอ
กับครูเป็นเพื่อนกัน” ฉันพยักหน้ารับ นี่ถึงขั้นเอ่ยชื่อเล่นฉันแสดงว่าอาจารย์แกจริงจังมากๆ
“จะจบอยู่แล้วทำตัวให้มันดีๆ หน่อย ครูไม่อยากจะได้ยินเรื่องของเธอจากอาจารย์ประจำ
วิชาต่างๆ ว่าเธอโดดเรียนเป็นว่าเล่นขนาดไหน อาจารย์หลายคนก็คาดหวังจะให้เธอตั้งใจ
เรียนกว่านี้ เพราะพวกท่านว่าเธอเป็นเด็กฉลาด หัวดี ดูมีอนาคต พวกท่านเลยอยากจะช่วย”
แกว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกรอบ เอ่อ รู้สึกแย่จัง แต่ไม่รู้สึกผิดเท่าไหร่ ฮิฮิ
“แล้วไปเยี่ยมพ่อบ้างรึเปล่า” ในที่สุดอาจารย์แกก็เปลี่ยนเรื่องคุย
“ช่วงนี้ไม่ได้ไปค่ะ ไปแต่ช่วงปิดเทอม” ฉันตอบเบาๆ
“ถ้าจะไปมาขออนุญาตครูนะ ครูจะให้ไป แต่..ห้ามโดดเรียนไปนะ”
“ค่ะ ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ”
“หวังว่าต่อจากนี้ครูจะไม่ได้ยินเรื่องการโดดเรียนของเธออีกแล้วนะ ไปเข้าแถวได้แล้ว”
อาจารย์บอก ฉันจึงยกมือไหว้แล้วออกไปเข้าแถว

หลังออกจากห้องปกครองฉันก็เริ่มใช้ความคิดอย่างหนักจนมาถึงแถว
“เฮ้ยๆ ไอ้แนน กูเห็นมึงเข้าฝ่ายปกครอง โดนข้อหาไรวะ” ไอ้แอมถามฉันอย่างเป็นห่วง
“กูก็เห็นมึงนั่งหน้าจ๋อยเจี๋ยมเจี้ยมเชียว โดนเรื่องไรวะ ฮ่าๆๆ” ไอ้อ้วนถามพลางหัวเราะ
“เรื่องที่ไอ้แนนเข้าฝ่ายปกครองนี่ พวกมึงยังไม่ชินกันเหรอวะ เทอมนี้มันเข้าฝ่ายปกครอง
สามครั้งแล้วนะ” ไอ้อ๊อฟพูดขึ้นบ้าง
“แล้วครั้งนี้โดนข้อหาอะไรวะ” ไอ้อ้วนถามฉันซ้ำ
“...” ฉันไม่ตอบอะไรเพราะกำลังใช้ความคิดเพื่อนๆ เห็นฉันเงียบ ก็กังวลรุมถามใหญ่
“เป็นไรมากมั้ยวะ เฮ้ย มึงเล่าดิ กูใจคอไม่ดีเลย” ไอ้อ้วนซักฉันต่อ
“กูกำลังใช้ความคิด” ฉันตอบไปพลางเหม่อๆ
“คิดเรื่องอะไรมึง เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ เฮ้ยๆ มึงอย่าทำงี้ดิ
มีเพื่อนก็เล่าให้กันฟังมั่ง” ไอ้อ้วนว่าต่อ เพื่อนๆ คนอื่นก็ต่อว่าฉันในทำนองเดียวกัน
“เครียดว่ะ” ฉันตอบไปแค่นั้น
“มึงจะพูดไม่พูด มึงเครียดอะไร หรือว่ามึงโดนไล่ออกเหรอวะ!!!” ไอ้อ้วนตวาดใส่ฉัน
“เปล่า กูไม่ได้โดนไล่ออก แต่กูกำลังคิดว่าจะโดดเรียน แล้วก็ปีนกำแพงยังไงไม่ให้อาจารย์รู้”
ฉันตอบไปตามสัตย์จริง หารู้ไม่ว่านั่นมันเป็นสาเหตุให้ฉันถูกทำร้าย!!
“โห่ นึกว่าเรื่องอะไร” พวกมันพากันโห่แล้วหลังจากนั้นฉันก็โดนเพื่อนรุมตบหัวฉัน
โดยไม่มีใครสนใจสายตาอาฆาตของฉันเลยสักคน
“เฮ้ยๆ พวกมึงทำอะไรกันน่ะ” พอฉันได้ยินเสียงเป้งดังขึ้น แล้วหัวใจฉันก็เต้นแรงขึ้นทันที
เขามาช่วยฉันใช่ไหม ได้โปรดเอาฉันออกไปจากการโดนรุมสกรัมนี้สักที T_T
“เฮ้ย อย่างยัยเนี่ยมันต้องเอาให้หนักๆ เพราะนานๆ จะมีโอกาสได้ตบหัวมันทีนึง ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
แล้วเสียงหัวเราะที่ดังกว่าใครนั่นแหละ ที่ตบฉันแรงสุด ฮืออ ไอ้เลว จากนั้นฉันก็โดนไปอีก
หลายที แล้วฉันก็ต้องพึ่งพาตัวเอง ทั้งดิ้น ทั้งสะบัด กว่าจะรอดจากชะตากรรมอันโหดร้ายนี้มาได้
แง่ง ไม่ถึงทีฉันให้มันรู้ไป ฉันจึงก็ส่งสายตาอาฆาตให้ทุกคนที่มันตบหัวฉัน โดยเฉพาะไอ้คนที่
มาหลังสุดแล้วมาตบหัวแรงสุดนี่สิ มันน่านัก แล้วยังมีหน้ามาทำหน้าทะเล้นใส่ฉันอีก ฮึ่ย ฉันอยาก
จะกรี๊ดดังๆ แต่มาดสุขุมของฉันจะให้มันพังยับเพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้ อ้ากกส์(กรี๊ดในใจไปก่อน)
“แนนมึงอย่ามองกูด้วยสายตาอย่างนั้นดิวะเป้งมันนำกูก่อน” ไอ้อ้วนพูดหลังจากที่สบตากับฉัน
“แล้วหมาตัวไหนมันตบกูก่อนเพื่อน หา!!” ฉันตวาดใส่มัน พร้อมชูกำปั้นที่พร้อมใช้งานในทันที
“ไอ้โก้นู่น ดูมันตบมึงแล้วทำเป็นรีบไปเข้าแถว ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อีก” ดูมันใส่ร้ายไอ้โก้ทันที
ทั้งๆ ที่ก็มันนั่นแหละเป็นคนแรกเลย
“เฮ้ยๆ เชี่ยอ้วน อย่ามาใส่ความกูนะ แนนจ๋า เราเปล่านะ เราแค่ตบเบาๆ ไปไม่กี่ครั้งเอง
ไอ้เป้งนู่น มันตบแรงสุดเลย” ไอ้โก้ว่าแล้วฉันก็หันไปคาดโทษคนที่ตบฉันแรงสุดไว้ก่อน
แต่ไอ้บ้านั่นก็ลอยหน้าลอยตาเหมือนอยากลองดีกับฉัน
“ไม่กี่ครั้งแล้วมันกี่ครั้งล่ะ” ฉันถามไอ้โก้พร้อมทำเสียงเหี้ยมๆ
“เอ่อ ไม่ได้นับน่ะ แหะๆ” ไอ้โก้ยิ้มแหยๆ ให้ฉัน
“เอาน่า ถือว่าทำบุญให้เพื่อนเพราะพวกเรายังไม่เคยได้ตบหัวแนนเลย ^ ^”
เป้งพูด พยายามเกลี้ยกล่อมสติของฉันให้เย็นลง แต่นัยน์ตาของเขานั้นกลับมีประกาย
ระริกออกมา ฉันก็พยายามทำใจให้เย็นแล้ว ถ้าเป้งไม่พูดคำนี้ออกมาซะก่อน
“แต่สะใจชะมัด ฮ่าๆๆๆ”
“ย้ากส์ พวกมึงตายซะเถอะ” จากนั้นฉันก็ไล่อัด ไล่เตะไอ้พวกเพื่อนบ้าอยู่ได้ไม่นาน
ก็ต้องมาหอบแฮ่กๆ เพราะความโมโหจึงทำให้ฉันเหนื่อยได้ง่ายๆ
“เป็นไงล่ะ อวดเก่งจริงๆ” เสียงเยาะเย้ยมาจากเจ้าคนต้นเรื่อง
“อย่าให้ถึงทีก็แล้วกัน ได้ตายกันหมดแน่” ฉันหมดสภาพจะไปรบกับใครไหว
จึงได้แต่ส่งเสียงขู่ไปอย่างนั้น
“อุ๊ยๆ กลัวเว้ยกลัว” เขายังพูดจากวนประสาทฉันต่อไปอีก
“แน่จริงตัวต่อตัวเลยมั้ยล่ะ ดีแต่รุม” ฉันถามเอาเรื่องอย่างจริงจัง
“อู้วว์ ไวไฟจริงๆ ไม่ทันไรเลย จะชวนเราไปอยู่ด้วยกันตัวต่อตัวซะแล้ว” เป้งพูดพร้อม
สายตาวิบวับล้อเลียน
“ไอ้บ้า ใครจะไปอยาก...เอ่อ...อยากไอ้นั่นกับแกกันล่ะ” ในที่สุดฉันก็หมดความ
อดทน ฉันจึงรีบเดินไปเข้าแถวที่ห้อง 7 ทันที ไอ้บ้านั่นกล้าดียังไงถึงมาพูดอย่างนี้กับฉัน
ฮืออ ฉันอายนะเนี่ย เสียงหัวเราะของเขากับเพื่อนๆ ยังดังออกมาไม่ขาดปาก กรี๊ดๆๆ
ไอ้ตี๋หมาบ้า ไม่รู้จะด่ายังไงให้มันสาสม TT_TT

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 2

ฉันกำลังยืนมองใครคนหนึ่ง ในสถานที่ที่ค่อนข้างคุ้นเคยสำหรับฉัน เหมือนว่าฉันกำลังรอ
ใครซักคน ณ ที่ตรงนี้ แล้วทำไมฉันรู้สึกเศร้าอย่างนี้นะ น้ำตาของฉันมันยังคงไหลอาบแก้ม
ของฉัน ข้างๆ ฉันมีแม่ของฉันที่ยืนจับมือฉันอยู่ พี่ชายทั้งสองคนของฉันก็โอบไหล่และจับ
มือข้างที่เหลือของฉัน ฉันหันไปมองหน้าพวกเขา ในแววตาของแม่และพี่ของฉันทำไมมัน
ถึงได้เศร้า เสียใจขนาดนี้นะ เอ๊ะ! แล้วนั่นแผ่นหลังของผู้ชายคนนั้นที่กำลังเดินเข้าไปใน
ประตูเหล็กอันใหญ่ มืดทึบ และดูน่ากลัวเหลือเกิน แล้วแม่ก็บีบมือของฉันแรงขึ้นแล้วบอก
“นั่นไงป๊าของหนู ป๊ากำลังจะเข้าไปข้างในแล้ว” ฉันก็มองตามสายตาของแม่ สบจังหวะ
พอดีที่ป๊าฉันหันหน้ามา แล้วน้ำตาของฉันก็ไหลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันจึงรีบวิ่งไปหาป๊าที่
กำลังจะเข้าไปในประตูนั้น พี่กับแม่ของฉันจึงวิ่งตามฉันมา ฉันเข้าไปกอดป๊าแล้วป๊าก็อุ้ม
ฉันขึ้นมา ถึงดวงตาของฉันจะพร่าเบลอไปด้วยน้ำตา แต่ฉันก็รู้ว่าป๊าของฉันกำลังร้องไห้
เหมือนกัน ป๊ากอดฉันไว้แน่น ปากฉันก็พร่ำบอกกับป๊าว่า ป๊าอย่าเข้าไป อย่าไปเลย
ฉันร้องจนสุดเสียง เมื่อแม่มาดึงฉันออกไปจากอ้อมกอดของป๊า ฉันมองหน้าแม่และพี่
ก็พบว่าพวกเขาก็กำลังร้องไห้เช่นเดียวกับฉัน แม่ส่งฉันให้พี่ แล้วแม่ก็เดินไปกอดป๊า
“ไม่ต้องห่วงทางนี้ ฉันจะดูแลลูกของเราเอง” ฉันมองป๊ากับแม่กอดกัน ฉันรู้สึกเหมือนใจ
จะขาดแล้วป๊าของฉันก็เดินเข้าไปประตูนั้น ฉันกรีดร้องสุดเสียง สติของฉันก็พลันดับวูบลง

“ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ” เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ฉันเอื้อมมือไปปิดมันแล้วจึงลุกขึ้นนั่งโดยไม่มี
อาการงัวเงียแต่อย่างใด แต่ตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกเศร้า คราบน้ำตาที่ยังเปรอะเปื้อนอยู่บน
ใบหน้านั้นแสดงถึงความเศร้าเสียใจของฉันได้ดี แม้ว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน เป็นความฝัน
ที่ฉันฝันซ้ำเหมือนเดิมๆ แทบจะในทุกคืนค่ำ บ่งบอกถึงความฝังใจในเหตุการณ์นั้นได้เป็น
อย่างดี แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นมาเนิ่นนานแล้วตั้งแต่ฉันอยู่แค่ ม.1 พ่อของฉันที่ต้อง
เข้าไปอยู่ในเรือนจำ ตั้งแต่นั้น จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่ได้รับอิสระ ทั้งที่พ่อของฉันไม่มีความผิด
ใดๆ เพียงแค่ไปอยู่ในสถานการณ์ที่ผิดเท่านั้นเอง ทุกเหตุการณ์นั้นมันยังฝังอยู่ในหัวของฉัน
จนไม่สามารถที่จะลบเลือนไปได้เลย แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานเท่าใด แม่ของฉัน
เองก็ไม่เคยผิดสัญญาที่ให้ไว้กับป๊า แม่ยังคงดูแลฉันกับพี่เป็นอย่างดี โดยไม่มีอะไรขาดตก
บกพร่อง แม่รักษาสัญญาเสมอ แต่ไม่เคยรักษาหัวใจของป๊าและรักษาความรู้สึกของผู้เป็น
ลูกอย่างฉัน เพราะแม่มีสามีใหม่ นั่นเองที่ทำให้ ฉันและแม่มีอันบาดหมางกันจนถึงทุกวันนี้
ถึงแม้ว่าแม่จะพยายามทำดีกับฉันมากกว่าพี่ของฉัน ง้อฉัน ดูแลทุกสิ่งอย่าง และจะให้
ทุกอย่างตามที่ฉันขอ ฉันก็ไม่เคยให้อภัยแม่ได้เลยสักครั้ง

วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่แม่มาทำดีกับฉัน แม่ซื้อปาท่องโก๋เจ้าประจำ มาพร้อมกับกาแฟเข้มๆ
และสังขยาเจ้าโปรด มาให้ฉัน แถมด้วยตับปิ้งให้จัมโบ้อีกด้วยฉันเองก็สงสัยว่าที่แม่ซื้อมา
นั้น แม่จะรู้มั้ยว่าฉันเองก็ไม่ได้ชอบมันซักเท่าไหร่ แต่มันเป็นสิ่งที่พ่อของฉันชอบกินเป็น
ที่สุดเมื่อตอนที่ท่านมีอิสระ ฉันพยายามที่จะทำทุกอย่างให้ระลึกถึงพ่อของฉันเสมอ ให้
เหมือนว่าท่านยังอยู่กับฉัน ขณะที่ฉันกินของพวกนั้นด้วยความหิว โดยที่ไม่รู้ว่าแม่ฉันอยู่
จากนั้นแม่จึงเดินมาหาฉัน
“อร่อยไหมลูก กาแฟน่ะอย่ากินให้มากนัก ยังเด็กยังเล็ก” แม่ถามฉันด้วยสีหน้ายิ้มๆ
แต่ฉันไม่ตอบ แต่คิดในใจว่า ไม่อยากให้ฉันกินกาแฟ แล้วซื้อมาให้ทำไม
“มีเงินใช้รึเปล่าลูก ที่โรงเรียนหนูต้องจ่ายค่าอะไรมั้ย” แม่ยังคงถามฉันต่อ
“มีอยู่ แต่ที่โรงเรียนก็ไม่ต้องจ่ายค่าอะไร” ฉันตอบแม่เสียงห้วน แม่ของฉันขมวดคิ้ว
นิดๆ กับคำตอบของฉัน จากนั้นจึงยิ้มออกมา แล้วก็ยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้ฉัน แต่ฉันไม่
รับ แม่ขมวดคิ้วแล้ว จึงพูดขึ้นมาเสียงเบาๆ ว่า
“เอาไปเถอะลูก แม่รู้ว่าหนูลำบาก แม่ไม่อยากให้หนูต้องไปรับจ้างทำนู่น ทำนี่กับญาติ
ฝ่ายโน้นเลย” แม่ว่าพลางถอนหายใจ พอฉันได้ยินแม่พูดอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้ฉันหงุดหงิด
“แม่เก็บไว้เถอะ ญาติทางโน้นเขายินดีช่วย ไม่เหมือนญาติทางนี้หรอก แล้วหนูก็ไม่ได้
ไปขอเขากิน หนูแลกเปลี่ยนเงินกับแรงของหนู แม่ไม่ต้องห่วงหรอก ว่าเขาจะเอาเปรียบ
หนู หนูโตแล้ว” ฉันไม่ชอบความคิดของแม่เกี่ยวกับญาติทางพ่อของฉัน ทั้งๆที่พวกเขา
ช่วยเหลือฉันทุกอย่าง แม่ก็จงเกลียดจงชังนัก ต่างกับญาติทางแม่ของฉัน ไม่เคยมีใคร
ช่วยเหลืออะไรฉันซักอย่าง ยกเว้นช่วยด่า กับช่วยซ้ำเติม แล้วเสียงรถยนต์ของใครคน
หนึ่งมาเทียบจอดที่หน้าบ้าน ทำให้ฉันถึงกับขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดและอารมณ์เสีย
“จะไปกันรึยังครับคุณ ทางนี้เสร็จแล้วนะ” เสียงสามีแม่ร้องดังเข้ามา พร้อมกับโผล่หน้า
มาให้ฉันเห็นแล้วยิ้มให้ฉันอย่างหวาดๆ แล้วถามฉันพอเป็นพิธี
“สบายดีมั้ย น้องแนน”
“อ๋อ สบายดีค่ะ ยังอยู่ดีมีความสุข” ฉันตอบไปอย่างนั้น ด้วยคำที่ฟังสุภาพแต่ไม่มีแม้
รอยยิ้ม แถมน้ำเสียงยังไม่มีความเคารพที่ควรพึงทำต่อผู้อาวุโส แม่ฉันได้ยินอย่างนั้น
ก็เอาเงินวางไว้ที่โต๊ะกินข้าว จึงเดินออกไป แล้วส่งเสียงแว่วๆ ให้ฉันได้ยินว่า จะโทรหา
ฉัน เฮ่อ จากนั้น ฉันก็น้ำตาคลอหน่วย เพราะหัวใจของฉันมันเจ็บปวดและเหนื่อยล้า
เหลือเกิน ฉันอยากคุยดีๆกับแม่ อยากกอดแม่เหมือนเมื่อก่อน แต่พอฉันจะทำอย่างนั้น
สีหน้าที่แสนจะเจ็บปวดของป๊าตอนที่ได้รู้ว่า แม่มีใครใหม่ก็ลอยขึ้นมาทันที ฉันจึงรู้สึก
ผิดกับป๊าที่ฉันจะทำอะไรดีๆ กับแม่ ฉันปล่อยตัวเองนั่งนิ่งๆ อยู่ที่โต๊ะกินข้าว คิดอะไร
ไปเรื่อยเปื่อย มือก็คนปาท่องโก๋กับกาแฟไปอย่างนั้น นั่งอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้จนเสียง
โทรศัพท์ดังขึ้น ฉันจึงลุกไปรับ
“(แนน นี่บุ๋มเองนะ ว่างรึเปล่า)” เสียงเพื่อนสนิทร่วมก๊วนของฉันดังขึ้น
“ว่าง”
“(ไปส่งบุ๋มหา ป๊อบปี้หน่อยสิได้มั้ย)” ไอ้บุ๋มถามฉันเสียงอ้อนๆ
“ที่ไหน”
“(บ้านอู๋)”
“อืม เดี๋ยวไปรับ” ฉันตอบไปจากนั้นก็วางสายทันที บุ๋มเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของฉันตั้งแต่
ม.ต้นแล้ว เราสนิทกันมากจนเหมือนปาท่องโก๋ที่ตัวติดกันตลอด แม้ว่าฉันกับบุ๋มจะอยู่คน
ละห้อง และมีนิสัยที่แตกต่างกันสุดขั้ว บุ๋มร่าเริง สดใส มีจริตมารยาแบบหญิงสาวเต็ม
เปี่ยม(กระแดะนั่นเอง) กล้าแสดงออก ซึ่งเป็นที่หมั่นไส้ของรุ่นพี่ผู้หญิงในโรงเรียน
จนต้องมีรุ่นพี่มาหาเรื่องอยู่บ่อยๆ ส่วนฉันนิ่ง เงียบ แต่ไม่ใช่คนขี้อาย มีใจนักเลงตามที่
พ่อและพี่ชายของฉันปลูกฝังไว้ตั้งแต่เด็กแต่ เป็นที่หมั่นไส้ของรุ่นพี่เพราะฉันเหมือนคน
ที่ดูหยิ่งๆ บวกกับเป็นพื่อนบุ๋มเลยยิ่งโดนสองเด้ง และฉันก็เป็นคนคอยแก้เรื่องและ
ออกโรงแทนบุ๋มอยู่บ่อยๆ หลายครั้งที่เราสองคนโดนรุ่นพี่นับสิบคนมาล้อมไว้ แต่ก็สามารถ
เอาตัวไปได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ว่าจะด้วยการเอาน้ำสาดใส่ก่อน สาดก๋วยเตี๋ยวมั่ง หรือถ้าหา
อะไรไม่ได้จริงก็โกยเอาดินแถวๆ นั้นแหละปาใส่ลูกตารุ่นพี่ พวกฉันไม่บ้าเลือดพอที่จะ
เอาตัวเองไปเสี่ยงกับตีนนับสิบคู่ของพวกนั้นหรอกนะ จากนั้นจนถึงชั้นปีที่สูงสุดใน
โรงเรียนเราสองคนก็ยังไม่เคยถูกรุมเลยสักครั้ง เรียกว่า ฉันกับบุ๋มนี่ร่วมหัวจมท้าย
ด้วยกันมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว เมื่อฉันอาบน้ำเสร็จแล้ว จึงแต่งตัวด้วยสไตล์เสื้อยืด
กับกางเกงยีนส์ตัวซีดๆ แล้วออกไปรับยัยบุ๋มทันที พอฉันไปถึงก็เห็นยัยนี่ยืนรอที่
หน้าปากซอยแล้ว ฉันยังไม่ทันได้จอดรถดี มันก็กระโดดขึ้นรถ แล้วขย่มพลางตะโกน
ไปโลดๆ ฉันจึงตะโกนด่ามันไป
“กูคนนะ ไม่ใช่ม้า เดี๋ยวถีบตกรถเลย” แค่นั้นล่ะ แม่เพื่อนสาวของฉันจึงยอมนั่งดีๆ
“อีโหดเอ้ย แค่ดีใจจะได้ไปเจอแฟนเอง” เฮ่อ!!
พอไปถึงบ้านอู๋เพื่อนของป๊อบปี้แฟนไอ้บุ๋ม มันก็ชักชวนให้ฉันเข้าไปในบ้านทันที
พอดีฉันกำลังเซ็ง และไม่มีที่จะไปอยู่แล้ว เลยไม่ได้ขัดข้องอะไร พอฉันเข้าไปใน
บ้านแล้วบุ๋มมันก็ตะโกนถามฉันว่า จะดื่มอะไร ฉันไม่ตอบเพราะรู้สึกถึงสายตา
ของใครบางคนจับจ้องที่ฉันอยู่ ฉันจึงหันไปมองก็พบชายหนุ่มที่มีผิวขาว หน้าตา
กลางๆ ถึงดูดีทีเดียว คงจะรุ่นราวคราวเดียวกันจ้องมองฉันอยู่พลางส่งยิ้มให้ แต่
ฉันไม่ได้ยิ้มตอบ แล้วจึงเดินเข้าไปหาบุ๋มที่ครัว เมื่อได้เครื่องดื่มที่ต้องการแล้วก็เข้า
ไปที่ห้องนั่งเล่นของบ้าน ฉันเพิ่งเคยมาบ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก จึงวางตัวไม่ค่อยถูก
รวมทั้งฉันค่อนข้างอึดอัดกับสายตาที่วิบวับของเจ้าของบ้านที่มองฉันตั้งแต่ย่าง
กรายเข้ามา ฉันจึงหันไปมองที่บุ๋ม เหมือนเป็นการปรึกษา บุ๋มก็ได้แต่ยิ้มตอบไม่ว่า
อะไร ฉันจึงได้แต่ถอนหายใจ เพราะรู้สึกถึงลางสังหรณ์ยังไงชอบกล แล้ว
ลางสังหรณ์ก็เป็นจริง เพราะดูเหมือนว่ายัยบุ๋มกับป๊อบปี้แฟนของมัน
กำลังสรรเสริญเยินยอเพื่อนคนนี้ของพวกมันให้ฉันฟังอยู่
“อู๋น่ะ นิสัยดีน้า แฟนก็ไม่มี แถมเรียนเก่งได้ที่หนึ่งในห้องเลยนะแนน”
“แล้วไงอ่ะ”
“ได้ยินว่าแนนเล่นกีต้าร์ด้วย อู๋มันก็เล่นเป็นเหมือนกันนะ” ป๊อบปี้พูดขึ้นอีก
“อืม อย่างงั้นเหรอ” ฉันตอบไปอย่างนั้นเอง
“มันเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งโฟล์คซอง สาวๆ กรี๊ดมันใหญ่เลย”
“จะเอาอะไรกันแน่ ป๊อบปี้!!” และความอดทนของฉันก็หมดลง
“เอ่อ...แนนก็ไม่มีใครมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ลองคบกับอู๋ดูล่ะ” บุ๋มพูดขึ้น
นั่นไง ว่าแล้วเชียว ฉันจึงยิ้มออกมา แต่มันคงเป็นยิ้มที่ไม่น่าพิสมัยสำหรับบุ๋มเท่าไหร่
พอบุ๋มเห็นฉันยิ้มอย่างนั้น มันถึงกับหุบยิ้มไปทันที
“ทั้งนิสัยดี ทั้งเรียนเก่ง ทำไมไม่มีแฟน” ฉันถามเสียงห้วนๆ
“เรายังไม่มีแฟนจริงๆ ไม่ได้โกหกนะ” อู๋ละล่ำละลักบอกกับฉัน
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่สงสัย”
“อู๋มันสนใจแนนมานานแล้วนะ แต่ไม่มีโอกาสเข้าหาสักที” ป๊อบปี้พูดแทนเพื่อน
“จะเอาไว้คิดดูแล้วกัน” ตอบเสร็จแล้วฉันก็ลุกขึ้น เดินออกจากบ้านหลังนั้นโดยไม่หัน
หลังกลับไปมองเพื่อนรักที่ฉันพามาด้วยแม้แต่น้อย บ้าจริง!! ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด โว้ยยย!!
อยากจะตะโกนบอกมันว่า ถ้ากูคิดจะมี!! กูก็มีปัญญาหาแฟนเองได้เว้ย!!! พลางคิดในใจ
วันนี้มันเป็นวันอะไรวะ มีแต่เรื่องแต่ราว ทำไมเรื่องราวมันไม่หยุดเกิดขึ้นให้สมกับ
วันหยุดหน่อย ว่าแล้วฉันก็บึ่งมอไซค์คันโปรดของฉันไปที่ตลาดสดเพื่อทำงานหาเลี้ยงชีพ
ต่อไป วันนี้วันหยุดมี OT ให้ทำด้วย (รับจ้างขายของนั่นเอง) ค่อยยังชั่ว -*-