วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 7

“กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลังจากที่ฉันกลับถึงบ้านได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่
เป้ง(ยันรถ)มาส่งฉัน ฉันก็กระวีกระวาดวิ่งมารับโทรศัพท์ด้วยความอารมณ์ดีที่นานๆ ฉันจะมีสักครั้ง
“อาโย๋ แนนพูดคร้า!!” ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าใครโทรมา แต่ช่วยไม่ได้ก็ฉันอารมณ์ดีนี่ ฮิฮิ ^ ^
“(รถสตาร์ทติดรึยัง)” คำถามที่ฟังดูห้วนๆ ทั้งน้ำเสียงที่ฟังคุ้นหูชวนให้หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้น
ก็ปกติถ้าไม่มีธุระจริงๆ เขาไม่ค่อยโทรมานี่นา
“เป้ง... เป้งเองเหรอ” ฉันถามด้วยเสียงที่พยายามไม่บ่งบอกความตื่นเต้น
“(อืม แล้วคิดว่าใครล่ะ เสียงเปลี่ยนเชียวนะ)”
“อ๊ะ เปล่าๆ แค่ไม่คิดว่าจะโทรมาน่ะ” ฉันตอบ
“(แล้วรถสตาร์ทติดรึยัง)” เขาถามซ้ำ
“อ่อ เรียบร้อยแล้วล่ะ เป่ากรองแล้ว สำบายมั่ก” ฉันตอบ นึกว่าเขาเป็นห่วงรถของฉัน
“(เหรอ นึกว่ายังไม่ติด พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องไปรับ กึก! ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด)” เขาวางไปแล้ว แต่ฉันสิ
ได้แต่ยืนเอ๋อ น้ำลายแทบยืด ก่อนจะนึกอยากลงไปนอนชักกระแด่ว เอาหัวโหม่งพื้นให้มันรู้แล้ว
รู้รอดไปเลย โง่บรมเลยฉัน แล้วฉันก็พลาดโอกาสทองไป เพราะความโง่ของฉันเอง
(ยัยนี่บ้าผู้ชายจริงๆ) ฮือออ TT_TT

วันนี้เป็นวันที่ฉันมาถึงโรงเรียนตั้งแต่เช้าในรอยหลายเดือนก็ว่าได้ จึงทำให้อาจารย์ที่ยืนคุม
ประตูมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ปกติเวลาที่ฉันมาเช้าที่สุดก็คือ เวลาที่เขาเริ่มเข้าแถวกัน
แล้วนั่นแหละ แต่วันนี้ฉันมาโรงเรียนตั้งแต่เช้าก็เพราะฉันอยากจะแก้ตัวกับอาที่ฉันไปจัดแผง
ขายของให้อาสายสุดๆ ในวันก่อนนั่นเอง
เมื่อฉันจอดรถเสร็จแล้วฉันก็ปีนข้ามรั้วลวดหนามที่กั้นระหว่างลานจอดรถกับโรงอาหารทั้งๆ
ที่ฉันใส่กระโปรง จึงทำให้นักเรียนชายพากันมองฉันด้วยสายตาออกแนวทึ่งๆ และสายตา
จากพวกผู้หญิงมันออกเชิงว่ากำลังแช่งให้ฉัน แบบว่าขอ ให้มันตกลงมาหน้าทิ่มลวดหนาม
หรือขอให้กระโปรงมันแหกไปเลย -*- ใช่ว่าฉันอยากจะทำตัวให้เป็นจุดเด่นหรืออะไร
หรอกนะ แค่ฉันเลือกจอดรถไว้ในส่วนที่ลึกที่ สุดของลาน เพราะมันมีร่มของต้นไม้บังแดด
ให้กับรถของฉันได้ แต่ลานจอดรถนั้นมันมีทางเข้าออกแค่ทางเดียวน่ะ ฉะนั้น สรุปได้ว่า
ฉันขี้เกียจเดินไกลนั่นเอง -_- ;
“เอ้า!! ปีนอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวจะได้ตกลงมาหน้าแหกสักวัน” เสียงเจ๊ตะโกนแซวฉัน
อันที่จริงฉันว่าเจ๊น่าจะชินกับสิ่งที่ฉันทำได้แล้วนะ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันปีนรั้ว
ถ้าให้นับไป มันก็หลายสิบครั้งแล้วล่ะมั้งฉันว่านะ
“ไม่ต้องห่วงหรอกเจ๊ หลับตาปีนยังได้เลย” ฉันคุยไปอย่างงั้นเอง เสียวๆ เหมือนกัน
แหละ เพราะปกติไม่ค่อยได้ปีนตอนใส่กระโปรงเท่าไหร่ ฉันพูดจบก็กระโดดลงจากรั้ว
ฟึ่บ!! แคว้ก!! หืม... เสียงอะไรน่ะ ฟังดูเหมือนเสียงผ้าขาด ฉันคิดแล้วจึงก้มมองดูที่
กระโปรงตัวเอง แว้กกก!! ท่าทางกระโปรงฉันจะไปเกี่ยวกับลวดหนามเข้าให้ตอนที่
กระโดดลงมา T_T ดีนะที่มันขาดเป็นทางยาวแค่ประมาณนิ้วเดียว เฮ่อ ขี้เกียจเย็บอ่ะ
“กูว่าแล้ว ไหนดูซิ ขาดจนเห็นน้องสาวมึงมั้ย” เจ๊ถามฉันด้วยความเป็นห่วงตามประสา
คนสูงอายุ ฉันก็แอบคิดนะว่า วัยขนาดอย่างเจ๊เนี่ย เป็นแม่หรือป้าฉันได้สบายๆ เลย
แต่ทำไมถึงยังเรียกแกว่าเจ๊อยู่ได้ สงสัยเพราะเจ๊แกทำตัววัยรุ่น ทั้งคำพูดและการแต่งตัว
ล่ะมั้ง เลยตัดใจเรียกป้าไม่ลง
“ตรงชายกระโปรงเอง ไม่เห็นหรอกเจ๊”
“เออ ดีแล้ว เจ๊ไม่อยากให้ลูกค้าเจ๊เสียสุขภาพตาน่ะ โฮะๆ”
“...” เจ๊กัดฉันได้แล้วหัวเราะสะใจอีก ฉันไม่อยากต่อความอะไร ฉันเลยเดินชิ่งไปหา
อะไรมาประทังความหิวในมื้อเช้านี้ ก๋วยเตี๋ยวไก่ร้อนๆ ร้านประจำของฉัน แล้วฉันก็ยก
ชามก๋วยเตี๋ยวมานั่งกินในร้านเจ๊เหมือนเดิม ระหว่างที่ฉันกำลังกินก๋วยเตี๋ยวที่แสนอร่อย
เอ่อ จริงๆ ก็ไม่อร่อยเท่าไหร่หรอก เพราะขี้เกียจปรุง ก็คนมันหิวอ่ะ แล้วฉันก็เหลือบ
เห็นผู้หญิงของเป้งกับเพื่อนสาวของเธอกำลังเดินตรงมาทางนี้ สงสัยจะมาซื้อผลไม้
จากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจมองอะไรอีกเลยนอกจากก๋วยเตี๋ยวในชาม(ก็บอกแล้วว่าหิว)

“ยัยนั่นมันมองแนนแปลกๆ นะเจ๊ว่า” เจ๊พูดเสียงเครียดขึ้นทันที หลังจากที่ผู้หญิงของ
เป้งกับเพื่อนสาวของเธอเดินจากไป พลางหลิ่วตาบอกฉันว่ายัยนั่นที่เจ๊หมายถึงนั่นเป็นใคร
“อ๋อ อ่างอันเออะเอ๊ ไอ้อากอ๋นใอ”(ช่างมันเหอะเจ๊ ไม่อยากสนใจ)
“ไม่เอาเรื่องหน่อยเรอะ ปกตินี่เห็นรุ่นน้องมันมองหน้าเป็นไม่ได้ จะลุยท่าเดียว”
เจ๊ถามฉันด้วยน้ำเสียงที่แปลกใจ
“ไอ้อ่ะ เอื่อ” (ไม่อ่ะ เบื่อ)
“แปลกนะเนี่ย” โอ๊ย!! ยัยเจ๊นี่จะยุให้ฉันไปตบเด็กนั่นให้ได้เลยใช่มั้ย แต่ถ้าไม่ใช่ผู้หญิง
คนนี้นะที่จ้องหน้าฉัน ป่านนี้ฉันเอาตะเกียบทิ่มลูกกะตา แล้วปาด้วยชามก๋วยเตี๋ยวไปแล้ว
(โหดไปมั้ยเนี่ย) แต่ตอนนี้ฉันก็ยังคงกินต่อไป
“อันไอ้อิดออก แอนอิดเองอี้ไออุ้งอะแอนอัน”(มันไม่ผิดหรอก แนนผิดเองที่ไปยุ่งกะ
แฟนมัน) ฉันตอบไปตามความรู้สึกจริงๆ ของฉัน
“นี่!! จะหยุดกินแล้วคุยกันดีๆ ก่อนจะตายมั้ย” แล้วเจ๊ก็ตวาดใส่ฉัน
“แหะๆ ได้จ๊ะเจ๊” ฉันหยุดกินเพราะก๋วยเตี๋ยวหมดพอดี แล้วรีบหันไปยิ้มหวานประจบเจ๊
เดี๋ยวแกเกิดโมโหคว้ามีดมาเฉาะหัวฉันก่อน นั่นมันคงไม่เป็นผลดีกับฉันแน่ๆ
“หมายความว่ายังไง ไปยุ่งกับแฟนเค้าก่อนน่ะ จะแย่งแฟนมันเหรอ”
“เฮ้ย!! ป่าวนะเจ๊ แค่เป้งให้แนนยืมรถกลับบ้านเฉยๆ แฟนเค้าคงไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่”
ฉันพูดแล้วก็อดเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ ก่อนฉันจะพูดอีก
“เจ๊ก็รู้นิสัยแนน แนนไม่เคยคิดจะแย่งของของใครหรอก แล้วก็ไม่เคยหวังอะไรจากคนที่
เขามีเจ้าของอยู่แล้ว”
“อืม ดีแล้วอะไรที่ไม่ใช่ของเรา อย่าไปเอามา มันบาป”
“จ๊ะเจ๊”
“แต่ถ้ามันมามองแนนด้วยสายตาอย่างเมื่อกี้อีก เจ๊ขอสั่งให้ตบมันได้เลย หรือไม่ก็แย่ง
แฟนมันมาอย่างที่มันกลัวนั่นเลย สะใจดี ฮ่าฮ่า” เจ๊พูดแล้วก็หัวเราะอยู่คนเดียว ปล่อยให้
ฉันต้องมานั่งคิด ...โห เจ๊เป็นผู้ใหญ่ประเภทไหนกันเนี่ย บอกฉันไปตบเด็ก แล้วให้แย่ง
แฟนเขาอย่างหน้าตาเฉย
“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าตบกันเพราะแย่งผู้ชาย ชื่อเสียงแนนก็ป่นปี้หมดกันน่ะสิ
แล้วไปแย่งแฟนเขาน่ะ มันไม่มีศักดิ์ศรี แนนไม่ชอบ” ฉันตอบไม่จริงจังเท่าไหร่
แต่มันเป็นความจริงที่ฉันคิดมาตลอดเวลา
“โอ๊ย ไม่ต้องห่วงชื่อเสียงหรอก เพราะมันป่นปี้ไปตั้งแต่มึงชอบทำตัวห่ามๆ บ้าๆ นั่นแล้ว
ฉะนั้นไม่ต้องรักษาชื่อเสียงหรอก ฮ่าฮ่า” เจ๊ว่าต่อทันที
“...” ฉันดูแย่ถึงขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย อาจจะเป็นเพราะฉันเป็นตัวของตัวเอง และมีความคิด
เป็นของตัวเองมากไปล่ะมั้ง ไอ้การโดดเรียน ปีนกำแพง หนีเรียนมาแอบนอนที่โรงอาหาร...ฯลฯ
เอ่อ ไล่ไปก็เปลืองเนื้อที่เปล่าๆ นั่นแหละๆ อาจเป็นเพราะอย่างนี้ล่ะมั้ง ฉันถึงไม่เคยรู้สึกว่า
มันเป็นสิ่งที่แปลกหรือผิด สิ่งที่ฉันทำมันมักจะมีเหตุผลมารองรับเสมอ ถึงแม้จะเป็นเหตุผลที่
ไม่มีใครจะเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยเหตุผลนั้นคือ ฉันไม่ได้ทำอะไรให้ใครเดือดร้อนนี่
ฉันจึงทำในสิ่งที่ฉันอยากทำ และไม่คิดจะทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ฉะนั้น จึงไม่มีใครมาบังคับ
ให้ฉันทำอะไรในสิ่งที่ฉันไม่อยากทำได้ แต่ถ้าเปลี่ยนมาเป็นขอร้องล่ะก็ ฉันจะยอมทำมันแต่
โดยดี ฉันคิดแล้วก้มลงมองชามก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ตรงหน้า อ๊ะ!! ยังเหลือลูกขิ้น กับหมูอยู่หน่อยๆ
นี่นา ว่าแล้วก็โซ้ยต่อดีกว่า
“ติ๊ง ตอง ต๊อง ติ่ง ต่อง ตอง ติ๊ง ต่อง” แล้วเสียงออดที่ฟังดูปัญญาอ่อนสุดๆ ก็ดังขึ้น เพื่อแจ้ง
ให้ทุกคนในโรงเรียนทราบว่าถึงเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติแล้ว และแล้วฉันก็กินก๋วยเตี๋ยวพร้อม
ซดน้ำหมดพอดี ฮ้า..อิ่มเว้ยยย แล้วฉันก็นั่งตบพุงน้อยๆ ของฉันด้วยความสบายอุรา ^o^
แล้วเจ๊ก็มองฉันด้วยสายตาปลงๆ เชิงเวทนาในกิริยาของฉัน ฉันได้แต่หัวเราะแหะๆ ให้เจ๊
เฮ่อ... เวลาที่ฉันมาโรงเรียนแล้วฉันรีแลกซ์สุดๆ ก็ตอนอยู่กับเจ๊นี่แหละ
“แนน อาจารย์ไมล์เดินมาทางนี้แล้ว ไปเข้าแถวเร็ว!” เจ๊กระซิบบอกฉันเสียงเครียดๆ พอฉัน
ได้ยินอย่างนั้นก็รีบคว้ากระเป๋าแล้วกระโดดข้ามรั้วด้านข้างร้านของเจ๊ออกไปด้วยความเร็วแสง
และออกไปจากโรงอาหารทันที และฉันก็เดินมาถึงแถวโดยสวัสดิภาพ
วันนี้ฉันตั้งใจมาเข้าแถวของห้องตัวเอง เพราะติดว่าเกรงใจอาจารย์จรูญจากที่คุยกันเมื่อวันก่อน
พอฉันไปเข้าแถว เพื่อนๆ ร่วมห้องก็พากันมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ มีแต่ยัยบุ๋มเพื่อนร่วมห้อง
พูดขึ้นมาแว่วๆ ว่าวันนี้นิมิตรหมายดี ท่าทางฝนจะตก หรืออะไรซักอย่าง ส่วนเพื่อนร่วมก๊วน
ของฉันน่ะเหรอ บ้างก็แซว บ้างก็ถึงกับทำหน้าเหวอไปเลยทีเดียว แต่ช่างเถอะ ไม่ได้หนักหัว
ใครนี่ จากนั้นฉันก็ยืนเก้อๆ เพราะไม่รู้จะคุยกับใครหรือไม่มีใครมาคุยด้วยก็ไม่แน่ใจ
จากนั้นฉันก็ยืนคิดอะไรไปเรื่อยๆ ที่หน้าเสาธง อาจารย์ฝ่ายปกครองกำลังพูดอะไรซักอย่าง
นี่แหละ ฉันเองก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง เฮ่อ น่าเบื่อจริงๆ
“วันนี้คิดยังไงมาเข้าแถวห้องตัวเอง ฝนตกแน่ๆ” เสียงนุ่มทุ้มของเป้งทักฉันขึ้นจนทำให้ฉัน
สะดุ้งสุดตัว ฉันจึงหันไปมองเขา เขากำลังยิ้มอย่างอารมณ์ดีให้ฉันอยู่
“ก็อาจารย์เขาขอมาอ่ะ เลยต้องจัดให้ แล้วตัวเองน่ะ ทำไมไม่เข้าแถวที่ห้องตัวเองล่ะ
หรือว่าอยากมาเรียนห้องควีน”ฉันถามกลับ
“ไม่เอาอ่ะ ขอมาเรียนห้องคิงดีกว่า จะได้เก่งที่สุดไง ^ ^”
“ห้องคิงอ่ะ มีดีแค่เรียนเท่านั้นแหละ น่าเบื่อจะตาย” ฉันบอก
“งั้นย้ายไปห้องอื่นสิ” เป้งพูดแล้วเสมองไปทางอื่น
“ย้ายห้องตอนอยู่ ม.6 นี่นะ ประสาทกลับรึไง” ฉันเลยแว้ดกลับ
“ก็ป่าว เผื่ออยากไปอยู่ห้อง 5 ^ ^” เป้งพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ห้อง 5 อ่ะนะ ไม่เอาอ่ะ เพื่อนผู้หญิงในห้องท่าทางจะเข้ากันไม่ได้” ฉันปฏิเสธไปทันที
“งั้นจะไปห้องไหน” เขาหันมาถามฉันตรงๆ
“ไม่ไปไหนทั้งนั้นล่ะ จะอยู่ห้องนี้แหละ” ฉันตอบพลางเหลือบมองเพื่อนในก๊วนหลายคน
กำลังมองมาทางฉันกับเป้งอย่างสนใจ
“ว้า นึกว่าจะอยากไปอยู่ห้องเดียวกันซะอีก” เป้งพูดเบาๆ แต่ฉันได้ยินชัด ฉันนิ่งไปสักพัก
พร้อมทั้งความยินดีและความสับสนก็พุ่งเข้าสู่จิตใจ แต่ฉันจะแสดงความรู้สึกอะไรออกไปได้
จึงได้แค่แสร้งถามเขากลับราวกับว่าไม่ได้ยินประโยคที่เขาพูดเมื่อครู่
“ว่ายังไงนะ เมื่อกี้ไม่ทันได้ฟัง” ฉันถามเขาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติที่สุด
“ป่าวๆ” เขาตอบแล้วก็มองหน้าฉันนิ่งๆ เขาจ้องฉันด้วยสายตาที่ฉันไม่เคยได้รับจากเขา
จนทำให้ฉันรู้สึกขัดเขินไปหมด แล้วเขาก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วถามฉัน
“ได้ยินว่ามาว่าเพิ่งหักอกหนุ่มมาเหรอ”
“ก็อย่างที่ได้ยิน”ฉันตอบเสียงนิ่ง
“เฮ่อ ขี้เหร่แล้วยังจะเลือกอีก อุตส่ามีคนหลงผิดเข้ามาทั้งที”
“เป้ง” ฉันส่งเสียงเรียบ เหมือนเป็นการเตือนว่า ระวังตัวให้ดีๆ
“ยังลืมรักเก่าไม่ได้หรือไง” เป้งถามฉันเหมือนไม่เรื่องสำคัญ แต่ฉันสิ คำถามนั้นมันยิ่ง
ทำให้ฉันรู้สึกแย่ เพราะพวกเขาสองคนเป็นเพื่อนกัน มันยิ่งตอกย้ำว่าฉันไม่ควรรักเป้ง
“ทำไมต้องลืม ทั้งๆ ที่ไม่ได้จำ” ฉันบอกเขาเสียงแข็ง
“เอาให้มันแน่ ตั้งแต่เลิกกับมันมายังไม่เห็นมีแฟนใหม่”
“ที่ไม่มีก็เพราะเบื่อและยังไม่อยากมี” ฉันตอบ แต่เหมือนว่าฉันเห็นอะไรที่แปลกไป
ในแววตาของเป้ง แววตาที่ดูเหมือนกำลังสับสนรึเปล่า แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“อาทิตย์หน้าต้องไปฝึก ร.ด. แล้วนะ” เขาพูดขึ้นมา แต่ไม่มองหน้าฉันอีกต่อไปแล้ว
“อืม ไปหลายวันอยู่ใช่มั้ย” ฉันถามเขาพร้อมความรู้สึกใจหาย
“ใช่ เดี๋ยวจะเอารถไว้ให้ใช้นะ” เป้งพูดขึ้นราวกับมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่ฉันก็
อดตกใจไม่ได้ รถทั้งคันจะมาฝากไว้กับคนอื่นอย่างฉันตั้งหลายวันได้ยังไง
“แล้วที่บ้านจะไม่ว่าเอาเหรอ” ฉันถามเขา
“ใครจะว่า ก็อยากจะเอาไว้นี่ หรือว่าไม่อยากเอาไว้ใช้ จะได้เอาไปฝากไว้บ้านคนอื่น”
เขาตอบอย่างเอาแต่ใจ
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ก็ได้ๆ เดี๋ยวจะดูแลให้ดีๆ เลย” ฉันบอก
จากนั้นเขาก็เดินไปที่แถวของห้องตัวเอง จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกที่เราคุยกันเป็นจริงเป็นจัง
ทุกทีนี่ต้องด่ากันก่อนถึงจะคุยกันได้ ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะมาคุยกับฉันเลย เขาเรียน
ร.ด.ปี 3 แล้วก็ต้องออกไปฝึกที่ค่ายทหาร แล้วต้องไปนอนที่ค่ายเลย เพราะเป็นการบังคับ
เฮ่อ ตั้งหลายวันแน่ะ แล้วที่เขาจะเอารถไว้ให้ฉันใช้ แสดงว่าเขาก็คงรู้ว่าฉันกับพี่แย่งรถกัน
ใช้อยู่ ส่วนมากตอนเย็นในทุกๆ วัน พี่ชายของฉันก็มาเอารถไป งั้นก็แปลว่า เขาใส่ใจฉันอยู่
เหมือนกันล่ะสิ -..- เฮ่อ ทำไมเขาต้องมีแฟนแล้วด้วยนะ ป่านนี้ฉันคงก็ปฏิบัติการได้สำเร็จ
แล้ว (อ๊ะๆ อย่าคิดมากนะ)

ไม่มีความคิดเห็น: