วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สิ่งดีๆ จากหนังสือ

จากการวิจัย พบว่า ประชาชนชาวไทยมีสถิติในการอ่านหนังสือเป็นที่น่าตกใจมากทีเดียว
ค่าเฉลี่ยที่ออกมา คือ คนไทยมีสถิติในการอ่านหนังสืออยู่ที่ 10 บรรทัดต่อคนต่อปี
อยากจะอุทานออกมาดังๆว่า "พระเจ้าช่วยประเทศไทยด้วย ให้พ้นจากวิกฤติการณ์
ครั้งนี้ด้วยเถอด" เฮ่อ ฉันคิดว่า หนังสือทุกเล่ม มักจะมีคุณค่าในตัวของมันเสมอไม่ว่า
จะเป็น นิตยสาร นิยาย วรรณกรรม หนังสือพิมพ์ การ์ตูน ฯลฯ (ขอไม่กล่าวถึงหนังสือ
เรียนนะ)ข้อความที่อยู่ในหนังสือเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการเปิดโลกทรรศน์ สร้างความรู้
หรือจินตนาการให้แก่ผู้อ่านทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับแง่คิด และการนำไปใช้ของผู้อ่านแต่ละท่าน
สำหรับฉันแล้ว เรียกได้ว่า ฉันก็เป็นนักอ่านคนหนึ่งฉันเองก็มีหนังสือเล่มโปรดอยู่ชุดหนึ่ง
เป็นแนวแฟนตาซีและโรแมนติกนิดๆหนังสือชุดนี้มี 4 เล่ม นอกจากจะอ่านสนุกสนาน
ชวนติดตาม และยังล้วนด้วยการสอดแทรกแง่คิดต่างๆ ให้แก่ผู้อ่านสำหรับฉันแล้ว
จากการอ่านวรรณกรรม และนิยายมาอย่างโชกโชนฉันขอยกให้หนังสือเล่มนี้เป็น
The best ของวรรณกรรมเยาวชนของไทย "หัวขโมยแห่งบารามอส" นั่นเอง
ฉันขอยกประโยคเด็ดๆในหนังสือ ที่ฉันนำมายึดเป็นข้อคิดและ เตือนสติของฉันหลาย
ต่อหลายครั้ง

"จำไว้นะว่า การสอบสวนคนเข้าเมืองที่นี่ ขอเพียงแต่พูดจาสุภาพก็ผ่านได้แล้ว"
คำพูดนี้ โรเวนพูดกับเฟริน(ตัวเอกของเรื่อง)ก่อนที่จะสัมภาษณ์เข้าเมืองซึ่งเป็นการบอก
กลายๆ ว่า เมืองหน้าด่านนี้ผ่านได้ง่ายๆ เพียงแค่มีมารยาทหรือสัมมาคาราวะ ก็เพียงพอ
แล้ว แต่เฟรินกลับถือว่าตัวเองฉลาดหวังใช้เส้นสายความเป็นเจ้าหญิงโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
จึงถูกส่งไปลงโทษที่เมืองยักษ์ จนทำให้เพื่อนร่วมเดินทางต้องเดือดร้อน คนส่วนมากไม่
ชอบกฎเกณฑ์ แม้แต่พื้นฐานง่ายๆ ยังรักษาไม่ได้ทั้งที่ง่ายแสนง่ายที่จะผ่านด่าน แต่ก็พอใจ
ที่จะอยู่แค่ตรงนั้น และหากใช้ความคิดสักนิดก่อนพูด เฟรินและเพื่อนคงไม่ลำบากอย่างนี้

ประโยคที่เฟรินได้สนทนากับลูซิฟิน หัวหน้าเผ่าคนแคระดำ"เพื่อให้เอาชีวิตรอด มันไม่มี
เรื่องให้ต้องคำนึงมากหรอกนะท่าน"
"จริงฝ่าบาท เพราะเพื่อให้เอาชีวิตรอด คนเราก็อ้างได้สารพัดเรื่องเพื่อให้ได้อย่างที่

ต้องการ เราก็หาเหตุผลมาได้มากมาย"ราวกับลูซิฟินต้องการบอกกับเฟริน่วา เพื่อให้ตนได้
ในสิ่งทีต้องการแล้วจะทำอะไรก็ได้เพื่อให้ได้มา โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรี หรือคุณธรรมในใจ

ที่นครจันทรา ราชินีผู้มีความสามารถในด้านการทำนาย ผู้มีฐานะเป็นอาของเฟรินพยายามที่จะ
ทำนายชีวิตให้กับเฟริน แต่เฟรินกลับปฏิเสธ โดยกล่าวว่า
"ช่างเถอะฮะ ชีวิตตัวเอง ขอลิขิตเองดีกว่า อะไรจะเป็นก็ให้มันเป็นขืนให้ผมรู้ว่า
อนาคตดีอย่างโง้นอย่างงี้ คนขี้เกียจอย่างผมคงเอาแต่นอนตีพุงสบาย แล้วขืนรู้ว่าไ
ม่ดีก็คงทำใจเลิกสู้ ไปๆ มาๆ ไอ้โอกาสที่พอจะได้ดีนิดๆ หน่อยๆ ก็กลายเป็นศูนย์
ไม่เอาดีกว่า" ชีวิตของคนเราควรจะให้อยู่ในกำมือของเราดีกว่าที่จะให้อยู่ในกำมือของหมอดู
เพราะถ้าหากเราทำดีอย่างเต็มที่แล้ว สิ่งดีๆ คงไม่ไปไหนไกล ในตอนท้ายราชินีจันทรา
ได้ทำนายไว้ว่า เฟรินจะอายุสั้น เฟรินจึงตอบกลับว่า
"ช่างเถอะท่านอา อยู่นานอีกปีสองปี ห้าปีสิบปี หรือยี่สิบปี ชีวิตก็คือ ชีวิตสั้นยาวไม่
สำคัญเท่ากับว่าอยู่แล้วจะทำอะไร ชีวิตผมถึงจะสั้น ผมก็จะทำให้มีค่าให้อยู่มีคนรัก
จากไปมีคนอาวรณ์ ท่านอาวางใจเถอะ ถึงชีวิตผมจะไม่ยืน แต่วันหนึ่งของผมจะ
มีค่าเท่ากับหนึ่งปี ทุกวันของผมจะมีค่าทุกนาทีจะมีความหมาย ผมจะไม่เกิดเปล่า
ตายเปล่า ไม่ใช้ชีวิตแค่ผ่านไปวันๆ"
โอ้ว ฟังแล้วขนถึงกับลุกเลยทีเดียว นั่นก็คือการเห็นคุณค่าของชีวิต อย่ามัวหลงคิดว่าชีวิต
ของเรานั้นยังอีกยาวไกล เพราะถึงยามที่ต้องจากไป จะนึกเสียดายก็สายเสียแล้ว
ฉะนั้นควรทำทุกอย่างให้เต็มที่ จะได้ไม่นึกเสียใจภายหลัง

ที่เดมอสเฟรินได้กล่าวกับเอวิเดส ผู้เป็นพ่อว่าคิลที่เป็นเพื่อนรักหักหลังตนเฟรินร้สึก
โกรธแค้นคิลเป็นอย่างมาก เอวิเดสจึงได้กล่าวเตือนสติลูกว่า
"คนเรานะลูก มีเหตุผลที่มาต่างกัน จึงมีการกระทำต่างกัน ความคิดต่างกัน
ในโลกนี้จริงๆ ไม่มีผิดไม่มีถูก มุมมองเรา เราว่าเขาทรยศ ทำผิด มุมมอง

เขาอาจว่าทำตามหน้าที่ ไม่ผิด ถ้าเขาพูดอย่างนี้ ลูกจะว่าไง"
ถ้าคิดได้อย่างนี้จิตใจในทางลบก็จะกลายเป็นบวก ไม่ต้องมาจมอยู่กับความโกรธ
และเคียดแค้น และอีกประโยคหนึ่งที่เอวิเดสบอกเฟริน"ทุกอย่างอยู่ที่ห้วงความคิด
ถ้าเราไม่รู้จักหมุนเปลี่ยนห้วงคิด โลกนี้ทั้งโลกก็จะมีแต่ศัตรูกับคนทรยศ
แต่ถ้าหมุนเปลี่ยนความคิดสักนิด โลกนี้ทั้งโลกก็จะมีแต่เพื่อน"

"มีคำกล่าวว่า จิตอันสงบย่อมมองเห็นทางอันสว่าง ส่วนจิตที่วุ่นวาย

แม้มีทางทอดยาวอยู่เบื้องหน้าก็ยังมองไม่เห็น" ประโยคนี้มหาปราชญ์เลโมธี
ได้กล่าวเตือนสติเฟริน เพื่อให้เฟรินมองเห็นทางออกของปัญหาถ้าหากเพียงใจเราสงบ
และมีสมาธิ เราก็สามารถพบทางออกได้อย่างง่ายดาย

วิลเลี่ยม นักเพนจรได้กล่าวประโยคเหล่านี้เพื่อเตือนสติ เจ้าชายริชาร์ด
"อำนาจที่แสวงหาจากภายนอก ไม่เคยเป็นนิรันดร
และชัยชนะเหนือใจตัวเองเท่านั้น จึงเป็นนิรันดร"

"เค้าก็มีข้อดีของเค้า นายก็มีข้อดีของนาย แทนที่จะเสียเวลามาทุกข์
เพราะอิจฉา เอาเวลามาหาข้อดีของตัวเอง แล้วนายจะรู้ว่า ตัวเองไม่จำเป็น
ต้องเปรียบเทียบกับใคร"
เจ้าชายริชาร์ดกล่าวว่า "เด็กปากแบบเฟรินนี่ต้องมีการสั่งสอน"
"ถ้าสอนตัวเองได้ ก็สอนคนอื่นได้ แต่นายแน่ใจหรือว่าจะสอนตัวเองได้"

และยังมีอีกหลายๆ ประโยคที่ฉันชอบมากๆ จากหลายๆ ตัวละครกล่าวไว้
"พลาดก็คือพลาด คนเรามันจะเรียนรู้จากความผิดพลาด คนไม่เคยผิดก็คือ
คนที่ไม่ทำอะไรเลย คนไม่ทำอะไรเลยก็ไม่มีวันก้าวหน้า"
"รู้ไหมว่ามีแต่คนโง่ถึงไม่รู้ว่าคำปรามาสน่ะ เค้ามีเอาไว้ให่ฮึดสู้ ไม่ใช่เอามา

นั่งท้อ คิดจะเป็นคนเหนือคนน่ะ มันก็ต้องหัดอดทนให้มากกว่าคนอื่น
ไม่ใช่มานั่งตีหน้าซึมงี่เง่า"
"ความผิดตัวเองมักเล็กเท่าเม็ดทราย ความผิดผู้อื่นมักใหญ่เท่าผืนฟ้า"


ทั้งหมดที่ฉันได้ยกมานั้น หากใครทำตาม หรือคิดอย่างนั้นได้นะฉันว่าโลกนี้คงจะมี
แต่ความสุข และฉันเองก็กำลังพยายามทำอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน

ขอจบด้วยประโยคสุดหวานจากพระเอกของเรื่องกันดีกว่า
"โว้ย นี่ไม่รู้จักง้อกันเลยใช่มั้ย ไอ้คาโลบ้า" เฟรินตะโกนอย่างหงุดหงิด
เพราะไม่เห็นวี่แววของชายที่ตนรักมาง้อตามที่ตนหวัง จึงจะหันหลังกลับไปง้อคาโล
เสียเอง แต่แล้วต้องชะงัก เพราะคนที่เธอเพิ่งด่าไปเมื่อครู่ได้ อยู่ต่อหน้าเธอแล้ว
"เมื่อรู้ว่าฉันไม่รู้จักง้อ ก็อย่างอนให้ต้องง้อจะได้ไหม" คาโลเอ่ยพร้อมใบหน้าที่แดงระเรื่อ
ว่าแล้วก็ดึงเฟรินเข้าสู่อ้อมแขน แต่สาวน้อยยังไม่พอใจในคำกล่าวของชายหนุ่ม จึงพูดว่า
"รู้มั้ยว่านายน่ะทรีตสาวไม่ได้ความ นี่ถ้าไม่ใช่ฉัน คิดรึว่าอะไรมันจะง่ายๆ แบบนี้"
คำกล่าวที่ทำให้คาโลนึกเอ็นดูจนต้องขยับตัวเข้าไปใกล้ก่อนเอ่ยคำถามที่ดูจริงจัง
แต่น้ำเสียงกลับฟังนุ่มหู
"ก็แล้วนายจะเอายังไง"
เท่านั้นเองนัยตาของเฟรินก็มีแววระริก เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงบ่งบอกความถูกใจ
"มันต้องเริ่มจากหัดพูดหวานๆ ไหนลองพูดให้ฟังหน่อยสิ เอาหวานๆ ชัดๆ นะ"
"จะเอาหวานแบบไหน" คำถามจากเจ้าชายผู้เย็นชา จนทำให้คนฟังเบิ่งตาขึ้นอย่างไม่เชื่อหู
เฟรินทำทีครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยเสียงดังฟังชัด
"จะบอกว่านายรักฉันก็ได้ ฉันชอบฟัง"
คาโลชะงักไปนิด พลันนัยน์ตาก็มีประกายขบขัน ก่อนเอ่ยตามอย่างว่าง่าย
"นายรักฉัน" เท่านั้นเองสาวน้อยคนฟังถึงกับหน้าร้อน แล้วผลักคนแกล้งโง่ออก
ทันควัน แต่ก็ถูกคนแกล้งโง่คว้าตัวเอาไว้
"อยากฟังไม่ใช่เหรอ แล้วจะหนีไปทำไม"
"ไม่เอา ไม่อยากฟังแล้ว"
"รัก" คนไม่อยากฟังยังดิ้นอยู่
"รักมาก" แล้วคนฟังก็ต้องเงยหน้ามองคนพูดอย่างซาบซึ้ง
"รักมากที่สุด" นัยน์ตาสองครู่ตราตรึงกันไว้อย่างมีความหมายที่สุดจะบรรยาย

...............ว้าวว ลึกซึ้งและโรแมนติกสุดๆ ไปเลย กรี๊ดๆๆ (เหอๆ เป็นเอามาก)

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551

ลุ้นรัก พิชิตหัวใจนายเพื่อนสนิท (By Nannumnim)

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอิ๊กส์ พวกมึงเมาแล้วอ่ะดิ มากราบตรีนกรู บัดเดี๋ยวนี้" เสียงหัวเราะสะท้านโลกที่ดัง
มาจากปากสาวน้อย ที่ตัวไม่น้อยเท่าไหร่ กำลังส่งเสียงหัวเราะด้วยความมีชัยเหนือการดวลเหล้า
กันกับไอ้อ้วน และไอ้ยุ้ย เพื่อนของหล่อน
"กูม่ายยมาวววว ฮึ้ก แหวะ" เสียงประท้วงพร้อมทั้งอ้วกไปด้วยเป็นของไอ้อ้วน เพราะไอ้ยุ้ยได้
เมาหลับคาที่ไปแล้ว
"ถุย คออ่อนแล้วสะเออะมาท้ากู ตีนกูก็ไม่ยอมกราบ ไปตายซะ" เสียงสาวน้อยที่ว่าด่าคนคอ
อ่อนเข้าให้ (โห ผู้หญิง อาร้ายหยาบคายได้ใจ) ว่าเพื่อนคออ่อนเสร็จ ก็หันไปยกเหล้ากับเพื่อน
คนอื่นต่อโดยไม่ได้สนใจไอ้คนคออ่อนทั้งสองคนที่นอนเมาจมกองอ้วกตัวเองไปแล้ว

นี่แหละคือหนึ่งในชีวิตประจำวันของฉัน ที่มีนามว่า แนน เฮ่อ ชีวิต ม.ปลายของฉันวันนึงๆ
มีอะไรทำตั้งมากมาย เพราะต้องหารายได้เลี้ยงดูตัวเองและหมาน้อยพันธุ์บางแก้วที่มีนาม
น่ารักว่า จัมโบ้ ใช่ว่าฉันยากจน ตัวคนเดียวไม่มีใคร แต่ด้วยความที่ฉันมีนิสัยที่แสนจะหยิ่ง
และรักศักดิ์ศรีเป็นที่สุดเฉพาะกับผู้ที่มีความสัมพันธ์กับฉันที่เรียกกันว่า แม่ ฉันจึงมีแค่เพื่อน
เป็นที่เพิ่งพิงทางใจเท่านั้น ก๊วนเพื่อนของฉันนั้นมีมากมากกว่า 10 ชีวิต แม้ว่าฉันจะมีเพื่อน
ที่เรียกว่าสนิท กันจริงๆ เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น เพราะภายนอกฉันเหมือนคนเงียบ เก็บตัว
และมีรังสีออร่าทะมึนออกมาจากร่างกาย ของฉัน (เห็นเพื่อนบอกฉันอย่างงั้น) จึงเป็นที่
ขยาดของคนภายนอกเข้าใกล้ เว้นแต่เพื่อนสนิทของฉันที่รู้ว่าจริงๆ แล้วฉันเป็นยังไง
ฉันรู้ว่าฉันเป็นคนขี้เหงา และอ่อนไหวง่ายสุดๆ จนฉันต้องสร้างกำแพงที่เรียกว่า
ความเย็นชา ขึ้นมาปกป้องตัวเองจาก ความอ่อนแอที่เกิดขึ้นในใจของฉันเสมอ
แล้วก็อีกอย่างนึงอ่ะ ฉันเป็นคนใจดีและเป็นคนขี้ใจอ่อนสุดๆ เลยนะ ^O^

ปึ๊กก! "โอ้ย!! ไรของมึงวะ เจ็บนะเว้ย คนยิ่งแฮ้งค์ ไม่ทันได้หาย ซัดกูมาได้ ห่าเอ้ย"
เสียงไอ้อ้วนด่าฉันอย่างกับฉันไม่ใช่ผู้หญิง กัยอีแค่โดนกำปั้นพิฆาตของฉัน อัดเข้าที่
ไหล่ของมันเต็มๆ หลังจากจอดรถที่ลานจอดรถของโรงเรียนเสร็จ
" โห อัดมึงแค่นี้ดีเท่าไหร่ สาด ไม่ยอมกราบกู ชิ ไอ้อ่อนเอ้ย" สาวน้อยผู้ตกเป็นจำเลย
ด่ากลับทันที พอเห็นว่าไอ้อ้วนทำท่าว่าจะด่าฉันกลับ ฉันจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
" แล้วเมื่อคืนมึงนอนไหนวะ บ้านไอ้เต้ยเหรอ" ฉันถามด้วยความเป็นห่วงเพื่อน เพราะ
ไอ้อ้วนบ้านมันไกล มากินเหล้าทีก็ต้องมานอนค้างบ้านเพื่อน และส่วนมากมันก็นอน
บ้านไอ้เต้ย ไอ้เต้ยคือเพื่อนผู้ที่มีจิตใจดีสุดๆ และเป็นห่วงเพื่อนเป็นเลิศ
" เออ มึงจะให้กูนอนไหนวะ มีที่เดียวล่ะที่ต้อนรับกู เออ! แล้วมึงจะไม่ถามไอ้เป้งที่
เมาเป็นหมาหน่อยเหรอวะ ไม่รู้ขับขับรถถึงบ้านป่าว" ไอ้อ้วนบ่นถึงเพื่อนซี้อีกคนที่บ้าน
ไกลสุดๆ แต่ต้องกลับไปนอนที่บ้านมันเอง เพราะที่บ้านหวงและห่วงมันสุดๆ
" เอ่อ...งั้นเหรอ แล้วมันจะเป็นไงมั่งวะ" ฉันถามด้วยเสียงอึกอัก แล้วนึกเป็นห่วงหนุ่ม
ร่วมก๊วนอีกคน และเป็นคนเดียวที่ทำให้ฉันจิตใจปั่นป่วนทุกครั้งที่อยู่ใกล้ๆ แม้ว่าจะร่วม
ก๊วนเดียวกันมานานนับปีแล้ว ฉันก็ยังไม่เคยชินกับความรู้สึกพวกนี้สักที
" โน่น พูดถึงก็มาโน่นแล้ว ดูหน้ามันดิ ไม่เห็นเหมือนคนเมา" ไอ้อ้วนว่าพลางชี้นิ้วไปยัง
คู่กรณีของฉัน หนุ่มน้อยคนที่ว่าเห็น เพื่อนสองคนอยู่ด้วยกันก็พลางยิ้มกว้าง โบกไม้โบกมือ
ให้อย่างน่าหมั่นไส้ เฮ้อ! ไอ้รอยยิ้มนั่นขอซื้อได้ไหน เห็นแล้วจะละลาย ^o^
คนอาร้ายจะดูดีทุกสถานการณ์ ใครมาเห็นตอนนี้จะเชื่อ ว่าเมื่อคืนมันเมาหยำเปขนาดไหน
" เฮ้ย ทำไมดูมึงไม่เมาค้างเลยวะ ไอ้เป้ง" ไอ้อ้วนถามไปพลางเดินไปเข้าแถวเคารพธงชาติ
" ก็กูกินแบรนด์มาอ่ะ เลยดีขึ้น" เป้งตอบ โห อวดรวยชิบ ก่อนจะนึกหมั่นไส้ กัดซะหน่อย
ก่อนเข้าแถว " บ้านรวยมันก็ดีอย่างนี้ล่ะว้า!! " นี่โดนกัดซะเลย ^o^
" อยู่แล้วเฟ้ย " มันตอบ พร้อมทำหน้าทะเล้นปนเยาะเย้ย เออ ไอ้รวย ก็บ้านมันรวยต้อง
ยอมรับ เพราะบ้านเป้งนั้นเป็นถึง สถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ในอำเภอ ว่าไป
ไอ้คนนี้แหละ รวยสุดในก๊วน ว่ากันเสร็จก็เดินสะบัดตูดแยกย้ายไปเข้าแถวใครแถวมัน

เฮ่อ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฉันมาเข้าแถวร่วมกับห้อง 7 ฉันเบื่อที่จะต้องไปเข้าแถวที่ห้องของฉันห้อง 9
ก็นั่นมันห้องคิงนี่นา ทำไมน้าฉันต้องมาอยู่ห้องนี้ด้วยน้า ไม่เหมาะกับฉันเลย ฉันไม่มีเพื่อนสนิท
ในห้องสักคน จะมีแค่เพื่อนที่พอคุยกันได้ ฉะนั้น แทน แท้นน ฉันเลยสาระแนมาเข้าแถวที่ห้อง 7
แทน เออ จะว่าไปวันนี้เพื่อนร่วมก๊วนของฉันหายหน้าหายตาไปหลายคนเลย สงสัยเพราะฤทธิ์
เหล้าสาโทเมื่อคืนแน่ๆ ฮึฮึ ฮู้วว อีตาอาจารย์นั่นก็พร่ำอะไรอยู่ได้ คนร้อนนะเฟร้ยย ให้มายืน
ตากแดดอยู่นานสองนาน อา.. ในที่สุดก็ปล่อยซะที ไม่ได้ดีใจที่จะได้เรียนนะ ฉันน่ะ มันเป็น
พวกขี้เกียจเรียนจะตาย ถึงใครๆ จะว่าฉันหัวดียังไง ฉันก็เป็นตัวของตัวเองมากพอที่จะไม่สนใจ
การเรียน (อ่ะนะ เป็นนักเรียนที่ดีจริ้งง) หลังจากเข้าแถวเสร็จในทุกๆ เช้า ก๊วนของเราก็จะไป
รวมตัวกันที่ข้างสนามบาสเพื่อเสวนาเรื่องต่างๆ กันก่อนเข้าเรียน เอ่อ ขอสารภาพว่าจริงๆ แล้ว
เป้าหมายของฉันไม่ใช่แค่ไปเสนาพร่ำเพรื่อไรนั่นหรอก แต่ฉันหวังแค่ ไปให้ได้เห็นหน้าใคร
บางคนก่อนเข้าเรียนเท่านั้นเอง ^//^ เขินอ่ะ

ตอนนี้ ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจความรู้สึกของฉันที่มีต่อนายเป้งว่ามันเป็นความรู้สึกประเภทไหน
แต่มันเป็นความรู้สึกที่ฉันมั่นใจว่า มันเป็นความรู้สึกดีๆ ที่ฉันไม่เคยรู้สึกกับเพื่อนสนิทคนไหน
ฉันเพิ่งจะรู้ว่ามันก่อตัวขึ้นเงียบๆ ตั้งแต่เที่ราไปเที่ยวจันทบุรีด้วยกัน เมื่อหลายเดือนก่อนนี้ ใช่ว่า
ฉันเองจะอ่อนประสบการณ์เรื่องความรักนะ ฉันน่ะมีแฟนมาแล้วตั้งหลายคน แต่คบกันไม่ยืด
สักคน ฉันเป็นคนที่หลงรักใครได้ง่ายๆ และก็เลิกกับใครได้ง่ายๆ เช่น เหงาจัง เราเป็นเพื่อนแก้
เหงาให้เอามั้ย และตกลงเป็นแฟนกัน อีกไม่เกิน 2 เดือนก็เลิกกัน แค่นี้ล่ะ สงสัยฉันเป็นคน
ประเภทที่รักอิสระและเกลียดการผูกมัดเกินไปล่ะมั้ง เฮ้อฉันเองก็ยังคิดๆ อยู่ว่า ฉันเคยมี
ความรักจริงๆ กับเขาสักครั้งหรือยัง รึว่าแค่หลงใหลได้ปลื้มจนลืมตัวไปกับความรู้สึกตาม
ประสาเด็ก -*-

" พวกมึง 2 คนกราบไอ้แนนเลยนะเว้ย ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ" เสียงไอ้อ๊อฟ เพื่อนซี้
ของฉันประท้วงไอ้อ้วน กับไอ้ยุ้ยแทนฉันเหย็งๆ
" ไม่เอาเว้ย เมื่อวานก็ส่วนเมื่อวาน วันนี้ก็วันนี้สิวะ มันคนละวันกัน เห็นมั้ย แนนมันยัง
ไม่ว่าไรเลย" ไอ้อ้วนสวนกลับ
" เออๆ แล้วก็แล้วกันไปเว้ย ช่างหัวมันเหอะ แต่ทีหลังอย่ามาเทียบรุ่น เข้าใจ๋" นี่ฉันขอข่ม
มันหน่อย จริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้อยากทำตัวเป็นเมรีขี้เมาขนาดนี้หรอกนะ แต่ทำไงได้ ล่ะ
ในเมื่อเหล้าเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถรวบรวมเพื่อนๆ ให้อยู่กับฉันได้ เห็นมั้ย บอกแล้ว
ว่าฉันขี้เหงาจริงๆ แต่ตอนนี้ฉันขอแอบมองเสี้ยวหน้าของใครคนหนึ่งที่ฉันแสนจะเป็นห่วง
คนๆนั้นยังพร่ำน้ำลายแตกฟอง อยู่กับเพื่อนซี้ของเขา เมื่อมองจนพอใจแล้วฉันก็คล่อยๆ
เคลื่อนกายขึ้นตึกเรียนไป ในใจก็พลางคิดไปว่า คงจะดีถ้าได้อยู่ใกล้กันมากกว่านี้

" ไมมันน่าเบื่ออย่างนี้วะ แม่งเรียนก็ไม่รู้เรื่อง" ฉันบ่นกระปอดกระแปด หลังเรียน
วิชาคณิตศาสตร์ก่อนพักเที่ยง
" แล้วที่เรียนไม่รู้เรื่องน่ะ มัวแต่ใจลอยล่ะสิ" เสียงยัยบุ๋มเพื่อนร่วมห้องที่ฉันพอจะคุย
ด้วยได้พูดดักฉันซะหน้าหงาย
" ไม่ได้ลอยซะหน่อย แค่วิชามันยากอ่ะ แล้วเราก็ไม่ชอบวิชานี้ด้วย" ฉันแก้ตัวไปพัลวัน
ทำไมยัยนี่ถึงรู้เหมือนอ่านใจฉันได้เลย ฮือๆ ยัยนั่นไม่ต่อความใดๆ เดินหนีไปเฉยๆ
ทิ้งให้ฉันต้องมาทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ไม่ๆ ไม่ต้องคิด เพราะเป็นไปไม่ได้
เราเป็นเพื่อนกัน แล้วเราจะทำหน้ายังไง ถ้าไปบอกเขาอ่ะ แล้วถ้าเผื่อเขาปฏิเสธมา
ฉันไม่ต้องเสียเขาไปตลอดเหรอ ขอแอบชอบอย่างนี้ไปก็ดีแล้ว ซิกๆ

พักกลางวัน ฉันนั่งกินข้าวคนเดียวเงียบๆ ในร้านเจ๊ ทุกๆ เที่ยงฉันจะมาช่วยเจ๊เขาขาย
ผลไม้ เพราะเจ๊คอยช่วยเหลือฉันมาตลอด หลังจากขายของเสร็จ ฉันก็เดินไปที่สนามบาส
เห็นพวกเพื่อนๆ ของฉัน รวมทั้งนายคนนั้นกำลังเล่นบาสเอาจริงเอาจังอยู่ ฉันกำลังเดิน
ใจลอยๆ มา ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อไอ้คนที่ว่าตะโกนชวนฉันเล่นด้วยกันซะเสียงดัง (ไอ้บ้า
จะแหกปากอะไรวะ อยู่ใกล้กันไม้กี่เมตร) ฉันจึงปฏิเสธไป เพราะอยากเป็นคนนั่งดู
มากกว่า อา...มองดูเป้ง แล้วหัวใจมันเต้นผิดจังหวะไงชอบกล ดวงหน้าที่ขาว ใส
ดวงตาเล็กๆ นั้นฉายแววจริงจังเวลากระโดดชู้ตลูกลงห่วง แล้วคิ้วก็ขมวดเข้าเมื่อ
เห็นว่าลูกไม่ลงห่วงดังที่หวัง(ไอ้ห่วยเอ้ย ใต้แป้นยังไม่ลง) ฉันแอบด่าไปด้วย 55
แต่ก็อดชื่นชมเขาไปด้วยไม่ได้ ดวงหน้าที่แสนจะดูดี กับ หุ่นที่สูงสมส่วนกว่าใครในกลุ่ม
ผิวก็ข้าว ขาว ขาวกว่าฉันซะอีก หมั่นไส้จริงๆ เฮ่อ ทำไมนะ ฉันรู้จักเขาตั้งแต่ ม.3 ฉันก็
รู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับอีตานี่เท่าไหร่ เพราะเขานั้นชอบเดินร่อนไป ร่อนมา แล้วก็มักจะ
มีสาวเล็ก สาวใหญ่เข้ามาหาเขาเสมอ ด้วยหน้าตาที่ใครๆ คิดว่าหล่อ และดูดีนั่นแหละ
อี๋ แต่ตอนนั้นฉันคิดว่า อีตานี่ดูสำอางค์ชะมัด เก๊กหล่อสุดๆ แหยะ ไม่ช่ายสเป็คเลยล่ะ
แต่ตอนนี้ล่ะ เฮ่อ ฉันรู้แล้ว ล่ะว่าทำไมสาวๆ พวกนั้นถึงมาหลง มาชอบอีตานี่จัง
ตาเล็กๆ นั้นดูมีเสน่ เป็นประกายอยู่เสมอ รับกับคิ้วหนาของเขา ปากแดงๆ นั้นมันช่าง..
"เฮ้ยๆ!! ฟาวล์ มึงนั่นแหละ ฟาวล์ ไอ้สัดเอ้ย" เสียงของคนที่ฉันกำลังคิดถึงก็ดังขึ้น
ขัดจังหวะความคิดที่น่าภิรมย์?? ของฉัน นอกจากจะหน้าตาดีแล้วยังขี้โวยวายสุดๆ
ใช่ เพราะตอนนี้เขาเอามือข้างหนึ่งไปเชิงผลักๆ เพื่อน มือที่เหลือก็ถือลูกบาสไว้ไม่ยอม
ปล่อยให้ใคร อย่างเอาแต่ใจเป็นที่สุด เมื่อต่างคนก็ต่างๆไม่ยอม ในที่สุดก็เดือนร้อน
ฉันเพราะฉันเป็นคนนอกคนเดียว และมองเกมอยู่ ทุกสายตาจึงมองมาที่ฉัน หวังให้ฉัน
เป็นคนตัดสิน " มึงแหละฟาวล์ ไอ้ด้า กูดูอยู่ เอามือไปปัดตอนเป้งมันจะชู้ตได้ยังไง"
เฮอะ เรื่องอะไรฉันจะปล่อยให้คนที่ฉันหมายปองไว้หน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ล่ะ
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า กูบอกมึงแล้ว มึงอ่ะ ฟาวล์ มาหาว่ากูขี้ตู่" ดู๊ ดู หน้าเป้งมันชอบใจสุดๆ
มีดวงตานั้นแววเจ้าเล่ห์อีกต่างหาก แล้วเขาก็หันมายักคิ้ว ข้างเดียวให้ฉัน ฉันจึง
ยักตอบกลับ แต่ฉันยักข้างเดียวไม่เป็น ผลที่ออกมาคงทุเรศน่าดู เป้งถึงหัวเราะ หึๆ

แล้วบ่ายคาบแรก ฉันก็โดดเรียนอีกจนได้ เพราะเพื่อนทุกคนโดดมาเล่นบาสกันหมด
ฉันจึงต้องอยู่ในฐานะกรรมการตามที่มันขอร้อง ถึงมันไม่ขอร้องฉันก็ อยากอยู่ใจจะ
ขาดอยู่แล้ว ^o^ เพราะฉันจะต้องเป็นกรรมการที่แสนจะยุติธรรม(??)ให้กับเพื่อนๆ
และแล้วชีวิตในโรงเรียนของสัปดาห์นี้ก็หมดไป ค่ำวันศุกร์ ดูเหมือนเพื่อนๆ ของฉัน
จะนัดแนะไปฉลองกันที่ไหนซักแห่ง ในโอกาส จะไม่ได้เจอกันอีก 2 วัน เฮ้อ!!
อย่างกับจะไม่ได้เจอกันอีกเป็นปีๆ นี่แหละก๊วนของฉัน มีเหตุผลมาจัดงานรื่นเริง
ได้ทุกสถานการณ์ แต่ท่าทางวันนี้ฉันคงขอบาย เพราะ ไม่มีทรัพย์และเหนื่อยๆ จาก
เมื่อวานอยู่เลย เฮ่อ ไม่ได้เจอกันตั้ง 2 วันแน่ะ คิดถึงจัง =^ ^=

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Neverland ดินแดนที่ไม่เคยมีอยู่จริง

ถ้าเราเอาคำถามที่ว่า "โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรจ๊ะ" ไปถามเด็กชายคนหนึ่งในดินแดน
ที่มีชื่อเรียกว่า Neverland เด็กน้อยบินได้คนนั้นคงจะตอบกลับไปอย่างทันควันว่า
"ไม่อยากเป็นอะไรฮะ" คำถามนี้ไม่สามารถสร้างปัญหาให้เขาคิดมากได้เลย นั่นเป็นเพราะ
"ก็ผมไม่มีวันโตนี่ฮะ" ปีเตอร์ แพน บอกเหตุผล พร้อมๆกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของวัยเด็ก


แต่ในความเป็นจริง ดาวสีน้ำเงินใบกลมๆ แป้นๆ ที่เรายืนเหยีบอยู่นี้มิใช่ดินแดน Neverland
แห่งนั้น เด็กทุกคนล้วนต้องเติบโต และเด็กหลายคนในโลกต่างเคยถูกถามว่า
"โตขึ้นอยากจะเป็นอะไร" คำถามนี้คล้ายจะกลายเป็นประโยคคำถามบังคับให้เด็กทุกคน
เริ่มคิดถึงอนาคตของตัวเอง ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่รู้เลยว่าอนาคตที่ว่ามันจะมาถึงจริงรึเปล่า

"ผมอยากเป็นทหารครับ" ด.ช.ศรราม ตอบ
"หนูอยากเป็นหมอค่ะ" ด.ญ.อ้อย ตอบ
"หนูเหรอคะ หนูอยากเป็นนักร้องโกอินเตอร์ค่ะ" ด.ญ.ทาทา ตอบบ้าง
"ผมอยากเป็นนักบินครับ แล้วก็เลี้ยงหมาน่ารักๆ สักตัวครับ" ด.ช.ติ๊ก ตอบ

...แต่เด็กน้อยทั้งหลายจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าฝันของพวกเขาในวันนี้จะกลายเป็นจริงในวันหน้า
ดูอย่างติ๊ก ตอนนี้เขามีอายุปาเข้าไปจะ 40 ขวบปีแล้ว แต่เขายังไม่มีในสิ่งที่ตัวเองฝันในวัยเด็ก
เลยสักอย่าง ตอนนี้เขาเป็นครูสอนหนังสือที่โรงเรียนขยายโอกาส ครูธรรมดาที่ยังไม่มีแม้แต่เงา
ของผู้หญิงที่เขาจะร่วมชีวิตด้วย ทุกอย่างที่ได้รู้ได้เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่ติ๊กคิดไว้เลย มันออกจะ
แย่กว่าที่เขาเคยคาดคิดไว้ในวัยเด็ก
"ผมอายุ 40 ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ได้ขับเครื่องบิน แล้วแม้แต่หมาก็ไม่ได้เลี้ยง"
เด็กชายติ๊ก โวยวายใส่ นายติ๊ก "ผมโตเป็นผู้ใหญ่ที่ห่วยแตกมากเลยหรือเนี่ย"

จะใช่ความผิดของนายติ๊กหรือเปล่า ที่เขาละเลยในสิ่งที่เขาตั้งใจ "จะเป็น" และ "จะทำ" ในวัยเด็ก
หรือจะโยนความผิดให้กับติ๊กที่ไม่เคยเข้าใจเลยว่า สิ่งที่เขาฝันไว้ มันก็แค่ "ความอยากจะ" เท่านั้น
มันไม่สามารถการันตีได้เลยว่า เมื่อวัยนั้นมาถึง "ความอยากจะ" นั้นมันจะกลายเป็นรูปร่างขึ้นมา

บางที โลกและสังคมมนุษย์ก็ซับซ้อนและยากเกินกว่าที่เด็กๆ เคยเข้าใจ...
และบางครั้ง การต้องการเอาตัวรอดของเราทุกคนบวกกับเวลาที่เร่งรุดไป ก็พร้อมใจกันผลักหน้า
ของเราให้เบือนหนีไปจากฝันที่เราเคยคิดไว้... แม้เราจะไม่ตั้งใจเป็นเช่นนั้นก็ตาม

สิ่งที่เรากำลังเป็นในวัยที่เติบใหญ่ขึ้นมานี้ จะคือ "สิ่งที่เราอยากจะเป็น" หรือ
"สิ่งที่เราจำเป็นต้องเป็น" มันจะสำคัญตรงไหนในเมื่อใม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตที่มนุษย์เราสามารถ
เลือกได้อย่างพอใจ แต่ไม่ว่าเราจะเป็นอะไร ความหมายของชีวิตมันอยู่ที่
"การทำชีวิตที่เป็นอยู่ในขณะนี้ให้ดีที่สุด" มิใช่หรือ

ชีวิตคงไม่มีเรื่องอะไรให้คิดมาก ถ้าเราเป็นเด็กที่ไม่ต้องโต ไม่ต้องกังวลถึงอนาคต
ไม่ต้องรับผิดชอบ ในแบบที่ผู้ใหญ่ทุกคนต้องแบกไว้ แล้วเราจะมีเพื่อนแบบปีเตอร์ แพน
ที่พาเราสนุกได้ทั้งวัน ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องร้อน ไม่ว่าเราจะบินเนิ่นนานสักเท่าไหร่
เราก็ไม่มีวันโตอยู่ดี

ว่าแต่ ดินแดนนั้นอยู่ตรงไหน ริมขอบฟ้า นอกโลก หรือ ในอวกาศ... ที่แห่งนั้นช่างหายาก
เหลือเกิน หรือ ที่แท้จริงแล้ว Neverland ก็แค่ดินแดนที่ไม่เคยมีอยู่จริง



คุณภาพการเรียนของเด็กไทยรุ่นใหม่

เป็นที่เข้าใจกันแล้วว่า เป้าหมายเบื้องบนสุดอันเป็นหัวใจของ การปฏิรูปการศึกษา
คือ " คุณภาพการเรียนของเด็ก " เราจะปฏิรูปปฏิวัติหรือที่เรียกว่าเปลี่ยนแปลง
อะไรต่อมิอะไรกันทั้งระบบเป็นการใหญ่นั้น ก็ทำไปเพื่อให้เกิดผลที่ " ตัวเด็ก "
หมายความว่าเริ่มต้นก็อยู่ที่ตัวเด็กลงท้ายซึ่งเป็นจุดสำเร็จก็อยู่ที่ตัวเด็ก
ทำอะไร ๆก็ต้อง " คำนึงถึงตัวเด็ก " จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรก็ต้องถามว่า
แล้วเด็กได้อะไร ?จะเกิดผลกระทบอะไรขึ้นกับเด็ก ? หากผลจะเกิดกับเด็กนั้น
เป็นสิ่งที่เราต้องการ และจะเกิดขึ้นได้ระดับ (มาตรฐาน) ที่เราประสงค์ที่กำหนดไว้
เราก็ทำ (ปรับเปลี่ยน) หากไม่ใช่คุณภาพหรือใช่ แต่ไม่ได้มาตรฐาน
(สูงตามที่เรากำหนดเป้าไว้) เราก็ไม่ทำ ! หรือทำแต่ใช้วิธีการอย่างใหม่
เพราะสิ่งที่เราต้องการจากการปฏิรูปคือ... คุณภาพการเรียน (ของเด็ก)
ได้มาตรฐานสูง จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไร ๆ อย่างไรต้องคำนึงถึง
ผลที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก จะปรับเปลี่ยนระบบบริหารการศึกษาของประเทศ
ของจังหวัดหรือระบบบริหารภายในโรงเรียน ก็ต้องถามว่าแล้วเด็กจะได้อะไร ?
จะปรับเปลี่ยนระบบหลักสูตร (ซึ่งรวมทั้งเป้าหมายการศึกษา มาตรฐานการศึกษา
ของเด็ก ระบบการประเมินผลและการรายงาน) ต้องถามว่า แล้วเด็กจะได้อะไร ?
จะปรับเปลี่ยนระบบการเรียนการสอน ที่เน้น (กันนักหนาว่า) ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนั้น
เด็กจะได้อะไร ? จะปรับปรุงระบบวิชาชีพของครู (และบุคลากรการศึกษา)
เป็นการใหญ่ แล้วเด็กจะได้อะไร ? การตอบคำถามว่าเด็กจะได้อะไรนั้นต้องชัดเจน
และแหลมคมหน่อยนะครับ เพราะเราต้องการเด็กที่มี........ คุณภาพการเรียน
ได้มาตรฐานสูง เด็กไทยในอนาคต เด็กไทยในศตวรรษที่ 21 เด็กไทยในยุค
โลกาภิวัฒน์ ต้องเป็น... เด็กไทยรุ่นใหม่ เด็กไทยรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพอย่างใหม่
เด็กไทยรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพอย่างใหม่ที่ได้มาตรฐานสูง เด็กไทยรุ่นใหม่
ที่มีคุณภาพอย่างใหม่ ที่ได้มาตรฐานสูงในระดับสากล (นานาชาติ)
อะไรคือคุณภาพอย่างใหม่? มาตรฐานสูง (สากล) คือเท่าไร ? จะต้องปฏิรูปอะไร ?
ให้เป็นอย่างไร ? ด้วยวิธีการอย่างไร ? ใครต้องทำส่วนไหน อย่างไร
เด็กจึงจะได้อย่างที่ว่า ? ก็ต้องมียุทธศาสตร์การปฏิรูปที่แยบยล !

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ทักษะคณิตศาสตร์สร้างได้

เมื่อพูดถึงคณิตศาสตร์ ผู้ใหญ่บางคนได้ฟัง ยังหนาวๆ ร้อนๆ แล้วสำหรับเด็กเล็กๆ
การเรียนรู้เรื่องนี้จะเป็นสิ่งที่ยากเกินไปสำหรับเขาหรือไม่ ? คำตอบของคำถาม
ข้างต้นนั้นคือ "ไม่ยากหรอกค่ะ" ถ้าเรารู้จักเนื้อหาและวิธีในการส่งเสริมทักษะ
ทางคณิตศาสตร์ให้กับเด็ก ซึ่งเริ่มต้นได้ง่ายๆ จากสิ่งรอบตัวเด็กนี่เอง...
ทักษะทางคณิตศาสตร์ คือ ? ก่อนที่จะค้นหาวิธีส่งเสริมต่างๆ ให้กับเด็ก
เราควรจะรู้ว่าทักษะทางคณิตศาสตร์นั้นหมายถึงเรื่องอะไรบ้าง เพราะมีหลายคน
ที่เข้าใจว่าคณิตศาสตร์ คือ เรื่องของจำนวนและตัวเลขเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว
คณิตศาสตร์มีเนื้อหาที่กว้างกว่านั้นมาก เพราะยังหมายรวมถึงรูปทรง การจับคู่
การชั่งตวงวัด การเปรียบเทียบ การจัดลำดับ การจัดประเภท เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้ก็คือคณิตศาสตร์เช่นเดียวกันเริ่มได้เมื่อไหร่ดี เมื่อเรารู้ถึงเนื้อหาในเรื่อง
ต่างๆ ของคณิตศาสตร์แล้ว เราจะพบว่าการส่งเสริมทักษะคณิตศาสตร์สามารถ
เริ่มได้ตั้งแต่เด็กลืมตาดูโลก เมื่อลูกมองเห็นสีสันของโมบายที่คุณแม่แขวนเอาไว้
ให้เหนือเปล เขาก็จะมองเห็นความแตกต่างของสีสัน บ้านที่จัดสิ่งแวดล้อมแบบนี้ให้ลูก
ก็ถือว่าได้ส่งเสริมทักษะคณิตศาสตร์ให้กับเขาแล้ว เพราะหนูน้อยต้องได้สะสม
ประสบการณ์เหล่านี้ขึ้นมาเพื่อเป็นพี้นฐานการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่ผู้ใหญ่จัดหมวดหมู่
ไว้ในอนาคต ถ้าเราไม่ตีกรอบว่าคณิตศาสตร์ คือ จำนวนและตัวเลขเท่านั้น
เราก็สามารถส่งเสริมลูกได้ตั้งแต่แรกเกิดผ่านการจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
ความเข้าใจที่แตกต่าง การเรียนรู้ทักษะทางคณิตศาสตร์ของเด็กแต่ละวัยย่อม
แตกต่างกันไป เราสามารถส่งเสริมเนื้อหาทางคณิตศาสตร์ได้ทุกด้าน แต่ต่างกัน
ตรงวิธีการค่ะ สำหรับเด็กวัย 3- 4 ขวบ จำเป็นต้องเรียนคณิตศาสตร์ผ่านสิ่งที่เป็น
รูปธรรมมากเพราะเขายังไม่เข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่น ให้เด็กสามขวบ
ดูตัวเลข 2 กับ 3 แล้วเอาเครื่องหมายมากกว่าน้อยกว่าไปให้เขาใส่ เขาก็จะงงแน่นอน
ว่าเจ้าสามเหลี่ยมปากกว้างนี้คืออะไร เด็กวัยนี้การเรียนเรื่อง จำนวนตัวเลข ต้องผ่านสิ่ง
ของที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ แต่ถ้าเป็นพี่ 5 หรือ 6 ขวบ จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรม
หรือสัญลักษณ์ต่างๆ ได้แล้วเรียนรู้ได้จากสิ่งใกล้ตัว หลักของการส่งเสริมทักษะทาง
คณิตศาสตร์ให้เด็ก คือ เรียนรู้จากรูปธรรมไปนามธรรม เรียนรู้จากสิ่งที่ใกล้ตัวไปสู่
สิ่งที่ไกลตัว คนไทยโบราณจะมีเพลงร้องเกี่ยวกับอวัยวะต่างๆ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นเรียน
เรื่องง่ายๆ ก็คือ การเรียนรู้จากอวัยวะของตัวเองนั่นเอง เช่น ตาสองตา จมูกหนึ่งจมูก
หูสองหู เมื่อเด็กเกิดมานิ้วมือก็รองรับเลขฐานสิบให้เขาได้เรียนรู้ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็น
การเรียนคณิตศาสตร์ในเรื่องจำนวนและตัวเลขโดยไม่รู้ตัว หรือบ้านไหนที่คุณแม่
จัดระเบียบ มีการแยกประเภทเสื้อผ้า เช่น ลิ้นชักชั้นล่างใส่กางเกง ชั้นสองใส่เสื้อกล้าม
ชั้นสามใส่ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ ลูกบ้านนี้ก็จะได้เรียนคณิตศาสตร์เรื่องการจัดกลุ่ม
การแยกประเภทไปด้วยเช่นกัน
จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายค่ะที่พ่อแม่บางคนพยายามค้นหา อุปกรณ์ หรือกลวิธียากๆ
ในการสอนเด็กแต่กลับละเลยสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเหล่านี้ไปเด็กวัยนี้
เรียนรู้จากการเล่นและการกระทำ เราจึงควรส่งเสริมทักษะคณิตศาสตร์ให้อยู่ในชีวิต
ประจำวันของเขา เช่น เวลาคุณแม่จัดโต๊ะอาหารก็เรียกเจ้าตัวน้อยมาช่วยจัดด้วยว่านี่
คือจานคุณพ่อ จานคุณแม่ จานพี่ เขาก็จะได้เรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องการจับคู่
หนึ่งต่อหนึ่ง เป็นต้น กิจวัตรประจำวันของเด็กมีคณิตศาสตร์ซ่อนอยู่มากมายค่ะ
แม้แต่งานบ้านง่ายๆ ก็เป็นของวิเศษที่สามารถส่งเสริมคณิตศาสตร์ให้ลูกได้
คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้จักดึงสิ่งเหล่านี้ออกมาให้ลูกเรียนรู้ จัดสภาพแวดล้อมหรือ
กิจกรรมแล้วเปิดโอกาสให้เขามาช่วยกันคิดขอเพียงแค่เข้าใจ เมื่อเด็กเข้าเรียนอนุบาล
จะเริ่มมีแบบฝึกหัดที่เป็นระบบสัญลักษณ์เข้ามา สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตลูก
คือ ลูกเรานั้นมีความพร้อมที่จะรับระบบสัญลักษณ์เหล่านั้นหรือยัง ถ้ายังไม่พร้อมก็
ไม่ต้องบังคับว่าลูกต้องเข้าใจตอนนี้นะคะ เพราะบางครั้งลูกของเราอาจจะยังคง
ต้องการเรียนรู้จากสิ่งที่จับต้องได้ เราก็ควรช่วยเหลือและส่งเสริม ยกตัวอย่างนะคะ
เมื่อมีการบ้านที่ต้องเติมเครื่องหมาย มากกว่าหรือน้อยกว่า แล้วมีตัวเลข 5 กับ 6
เราอาจช่วยเตรียมสื่อให้ลูกนับ ประกอบการทำการบ้านประเภทเม็ดกระดุม ก้อนหิน ฯลฯ
ให้เขาเห็นเป็นรูปธรรมว่ามันมากกว่าจริงๆ เพราะฉะนั้นสัญลักษณ์ที่เหมือนปากกว้างๆ
นี้จะต้องหันหน้าไปกองกระดุมหรือกองก้อนหินที่มากกว่า เป็นต้น

ความพร้อมของเด็กย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล คุณพ่อคุณแม่เองต้อง
เป็นคนคอยสังเกตว่าลูกเราอยู่ในระดับใด พร้อมมากแค่ไหน
ไม่มีประโยชน์ที่จะเร่งลูกในยามที่เขายังไม่เข้าใจระบบสัญลักษณ์นะคะ
การที่เราไปเร่งเด็กอาจทำให้เขามีความฝังใจว่าคณิตศาสตร์นั้นมันยากแสนยาก
และไม่อยากจะเรียนรู้เรื่องคณิตศาสตร์อีกเลย