วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 4

แล้วหนึ่งวันในการเรียนของฉันก็จบลง แต่ชั่วโมงสุดท้ายเป็นคาบว่างของทุกห้องในชั้นนี่นา
ฮิฮิ ฉันคิดพลางความเมื่อยล้าจากการเรียนของฉันก็หมดไป ฉันเดินฮัมเพลง ระหว่างเดินไป
ที่ข้างสนามบาส ว้า!! ต้องเดินผ่านสามแยกปากหมาเหรอเนี่ย ไม่ชอบเลย อ๋อ ขออธิบาย
ความเป็นมาของสามแยกปากหมาซะก่อนนะ มันเป็นสามแยกที่ตัดทางเดินเพื่อไปยัง
อาคารเรียน 2 และ 3 แล้วบริเวณนั้นจะมีม้าหินอ่อนตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้มีผู้คน
มากมายไปนั่ง แล้วก็มีการแซว พูดหยอกล้อหรือด่ากับคนที่เดิน ผ่านบริเวณนั้น จึงได้ชื่อ
เรียกว่าสามแยกปากหมาด้วยประการฉะนี้ แต่ฉันก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่หรอกนะ
ระหว่างที่ฉันตั้งหน้าตั้งตาเดินผ่านสามแยกนี้ สายตาของฉันก็พลันไปเห็นใครคนหนึ่งที่นั่ง
อยู่กับเพื่อนซี้ร่วมห้องของเขา และข้างๆ เขานั้นเป็นหญิงสาวที่ได้ครอบครองหัวใจของเขา
นั่นเอง เอ่อ ทำไมฉันรู้สึกหน้าชาเหมือนจะเป็นลมขึ้นมาอย่างนี้นะ เมื่อรู้สึกได้ว่าเขากำลัง
จะหันมาทางฉัน ฉันจึงรีบหันหน้าหนีทำเป็นไม่เห็นว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้น แต่ไม่ทันซะแล้ว
“อ้าว แนน!! เลิกเรียนแล้วเหรอ” เสียงของด้าเพื่อนของเขาที่นั่งอยู่ด้วยกัน ก็ดังทักฉัน
ขึ้นมาก่อน ฉันจึงจำใจต้องเดินไปหาเขาที่โต๊ะ
“อืม เรียนเสร็จแล้ว กำลังจะไปสนามบาส ” ฉันพยายามควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น
จากนั้นฉันก็มองไปยังคนที่ทำให้ฉันเป็นอย่างนี้ เขาเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ทำไม่สนใจฉัน
ซะอย่างนั้น เมื่อเห็นอย่างนั้นฉันจึงเดินออกมา ลำคอของฉันแห้งผาก เหมือนมีก้อนอะไร
มาติดที่ลำคอ ฉันจึงเดินไปที่ร้านขายน้ำ ที่อยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุเมื่อครู่ ฉันหันไปสั่งน้ำกับคนขาย
ฉันพยายามไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองที่ที่คนคนนั้นกำลังนั่งอยู่
และเขาก็กำลังมองมาที่ฉัน ฉันจึงเบือนหน้ากลับมาทางเดิม จากนั้นฉันก็หิ้วแก้วน้ำไปยังที่ที่
ฉันตั้งใจตั้งใจจะไปตั้งแต่แรก
ตอนนี้ตัวฉันนั่งอยู่ที่ข้างสนามบาส แต่ใจของฉันมันยังอยู่แถวสามแยกที่ว่า
ฉันหันไปมองตรงนั้นอีกครั้ง ก็ยังเห็นเขานั่งอยู่ที่เดิม ขอบตาฉันร้อนผ่าว เหมือนจะร้องไห้
ฉันได้แต่พร่ำถามตัวเองว่าจะร้องไห้เพื่ออะไร ซึ่งฉันรู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว ฉันจึงหันไปที่
ตรงนั้นอีกครั้ง แต่ไม่เห็นเขานั่งอยู่ที่นั่นแล้ว แต่ผู้หญิงของเขายังอยู่ตรงที่เดิม ฉันได้แต่คิดว่า
ช่างเหอะ เมื่อตัดใจได้แล้วก็หันหน้ากลับมาที่สนามบาส แล้วตัวเองก็ต้องตกใจ เพราะเขากับด้า
มายืนอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว แต่จากเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ฉันวางหน้าไม่ถูก
“มองอะไรอยู่เหรอ เห็นมองไปทางนั้นตลอดเลย หรือว่ามองใคร” เป้งถามพลางยิ้มบางๆ
“เปล่านี่” ฉันปฏิเสธเสียงเรียบ แต่ไม่ยอมสบตาเขา
“หึ หึ” เขาหัวเราะแล้วนั่งลงข้างฉัน จากนั้นก็ถอดกระเป๋าเป้ของเขาออกแต่ไม่พูดอะไร
เป็นสถานการณ์ที่อึดอัดจริงๆ - _ - ;
“เล่นบาสมั้ย” อยู่ๆ เขาก็ถามฉันขึ้นมา หลังจากที่นั่งเงียบมาสักพัก
“ไม่อ่ะ” ฉันตอบไปแบบเซ็งๆ แล้วเขาก็ยื่นกระเป๋าของเขามาให้ ฉันก็รับไปแบบงงๆ
พลางส่งสายตาเชิงถามให้เขา
“ฝากถือไว้หน่อย - _ - ^” เขาทำหน้าเซ็งใส่ฉัน
“ทำไมต้องฝากด้วยอ่ะ วางไว้เฉยๆ ก็ไม่หายหรอก” ฉันโวยกลับบ้าง แต่เขาก็แค่หันมา
ยิ้มให้ฉัน แล้วเดินลงไปสนามบาสหน้าตาเฉย ไอ้บ้านี่!! ฉันคิดอย่างหงุดหงิดแต่ฉันก็ยัง
ถือกระเป๋าของเขาไว้ในมือ มองกระเป๋าแล้วฉันก็ยิ้มออกมา เฮ้ย!! ยิ้มบ้าอะไรวะ บ้าจริง
แค่เขาใช้ฉันถือกระเป๋าให้แค่นี้ถึงกับยิ้ม แล้วถ้าเขาใช้ฉันไปขัดขี้ไคลให้เขานี่ฉันจะไม่กรี๊ดสลบ
ไปเลยเหรอเนี่ย บ้าเอ้ย!! ฉันด่าตัวเองเสร็จ เลยปากระเป๋าบ้านั่นลงที่โต๊ะอย่างหงุดหงิด

“นั่งทำไรคนเดียว ไม่ไปเล่นบาสกับเขาล่ะ อาบุ้ง” เสียงของด้าดังขึ้นทำให้ฉันสะดุ้งตกใจ
มันมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ
“นั่งไปเพลินๆ น่ะ” ฉันตอบไปสั้นๆ อย่างไม่ได้ใส่ใจกับสายตาแปลกๆ ของด้าที่ส่งมาให้ฉัน
“ทำไมดูหงุดหงิดจังฮะ อาบุ้ง” ด้าถาม เฮ้อ อีตานี่ก็อะไรไม่รู้เรียก อาบุ้งๆ อยู่นั่นแหละ
ฉันเคยถามเขาว่าทำไมเรียกฉันอาบุ้ง เขาบอกว่าฉันหน้าเหมือนคนที่แสดงเป็นอาบุ้ง ในละครเฮงๆ
อะไรนี่แหละ ฉันไม่เคยดู ตอนแรกฉันก็แอบดีใจนะที่มีคนว่าฉันหน้าคล้ายดารา แต่พอเปิดไปดู
ละครที่ว่าก็ผิดหวังนิดหน่อย ดูไปยัยนั่นก็หน้าตางั้นๆ ล่ะ เฮ่อ!!
“เปล่านี่ หงุดหงิดตรงไหน -*-” ฉันตอบ
“ปกติอาบุ้งไม่ค่อยมานั่งนิ่งๆ ทำหน้าบอกบุญไม่รับอย่างนี้นี่นา”
“ก็หน้าเราเป็นอย่างนี้แต่ไหนล่ะ ไม่ต้องเดาหรอก”
“...” ไอ้ด้า (ขอเรียกไอ้ละกัน ก็อยากมายุ่งจุ้นจ้านกับฉันทำไมล่ะ) มองตาฉันเหมือนจะค้นหา
อะไรซักอย่าง ฉันเองก็ไหวตัวทันรีบปรับสีหน้าและสายตาให้เรียบเฉย
“เฮ่อ” เสียงไอ้ด้าถอนหายใจ
“...”
“แนนว่าผู้หญิงน่ารำคาญทุกคนมั้ย” ด้าถามฉันเสียงเรียบ แถมไม่เรียกฉันว่าอาบุ้งด้วย
แสดงว่ากำลังเข้าสู่โหมดจริงจังสินะ
“แล้วด้ารำคาญเรามั้ยล่ะ” ฉันถามกลับ
“เปล่า”
“งั้นก็แสดงว่า ผู้หญิงไม่ได้น่ารำคาญไปซะทุกคนหรอก”
“แต่เห็นผู้หญิงของไอ้เป้งแล้วรำคาญแทนมัน” ด้าตอบกลับ ...หืม ผู้หญิงของเป้งอย่างงั้นเหรอ
“น่ารำคาญตรงไหน ก็เห็นเขาคุยกันดีออก” ฉันเห็นด้วยกับด้าว่าผู้หญิงของเป้งนั่นทำให้ฉัน
รำคาญสายตาเอามากอยู่เหมือนกัน แต่ฉันแสร้งถามด้าไปอย่างนั้น ทั้งที่จริงฉันอยากรู้เรื่อง
ความรักของเขาจะตายอยู่แล้ว
“แนนรู้มั้ยว่าไอ้เป้งมันโดนยัยนั่นตื้อ”
“งั้นเหรอ ไม่เห็นเคยรู้ ” ฉันตอบเสียงนิ่งแต่ในใจกลับเต้นรัวเพราะได้รู้เรื่องของเขา
“มันแค่หวั่นไหวไปกับยัยนั่นเพราะมันไม่มีใครต่างหากล่ะ” ด้าบอก
“...” ฉันยังเงียบ พลางครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ของความรักของฉัน
“ช่วงนี้ไม่เห็นอาบุ้งมีแฟน” ด้าถามแล้วมองฉันยิ้มๆ
“เออ แล้วมันผิดปกติมากเลยเหรอ ที่เราจะไม่มีแฟนน่ะ” ฉันตอบอย่างหงุดหงิด
“ได้ยินว่าเพื่อนป๊อบปี้มาชอบนี่นา ไม่สนใจเหรอ”
“ไม่-สน-ใจ” ฉันเน้นแต่ละคำหวังให้มันซึมลึกเข้าไปในหัวของคนถาม
“ไม่สนจริงอ่ะ ได้ยินว่าตื้อมานานแล้ว ไม่ใช่เหรอ”
“แล้วไง เรื่องของมันสิ!!” เส้นอารมณ์ของฉันชักใกล้จะขาดเต็มที
ไอ้ด้าคงรู้ว่าฉันกำลังหงุดหงิดอย่างเต็มกำลังแล้ว จึงทิ้งประโยคนี้ไว้ให้ฉัน
“คงรอใครสักคนอยู่สินะ อาบุ้ง” ประโยคที่ฟังดูธรรมดา แต่สายตาของมันที่แสดง
ออกมานั้นส่อแววนัยๆ ว่า รู้ทันนะ เอื๊อกส์ ไอ้ด้าแสร้งถอนหายใจแล้ววางเป้ลง
จากนั้นเขาก็ไปเล่นบาสกับคนที่เพิ่งโดนเพื่อนเอามาเผาไปหมาดๆ แล้วฉันก็ต้องนั่ง
อยู่คนเดียวอยู่กับหัวใจที่แสนจะว้าวุ่นของฉัน ฮือออ TT_TT

แล้วผู้ชายที่ชื่ออู๋คนนั้นก็ช่างตื้อจริงๆ ไม่ว่าฉันจะไปไหน ทำอะไรอยู่ที่ไหน
เหมือนว่าเค้าจะรู้ไปซะหมด ให้ฉันเดานะ ยัยบุ๋มนั่นแหละที่เป็นสปายให้เขา แล้วยังหา
ทางทุกวิถีทางให้เขามาเจอฉันอยู่บ่อยๆ อย่างวันนี้อีกเช่นกัน ฉันชวนบุ๋มกับอ๊อฟไปนั่งที่
ร้านนม แต่ฉันกับอ๊อฟมาถึงที่ร้านก่อนแล้ว ส่วนบุ๋มก็เป็นไปอย่างที่คาด เธอหนีบเอา
สองหนุ่มแฟนแล้วก็เพื่อนแฟนตัวเองมาด้วย แถมยังจัดแจงให้เขามานั่งข้างๆ ฉันอีกด้วย
ฉันจากที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว เลยกลายเป็นไม่พูดอะไรเลย ส่วนไอ้คนที่เสนอหน้ามานั่งข้างฉัน
พอเห็นฉันนั่งเงียบก็เลยถือโอกาสชวนฉันคุย
“แนนมาร้านนี้บ่อยเหรอ เรามาบ่อยแต่ไม่เคยเห็นแนนเลย” อู๋ถาม
“ปกติเราไปแต่ร้านเหล้า ร้านนมบรรยากาศน่าเบื่อ” ว่าแล้วฉันก็เอาส้อมจิ้มฉึกเข้าที่ขนมปัง
แล้วยัดใส่ปากของตัวเองอย่างรุนแรง เป็นการแสดงออกว่า ฉันนอยด์เต็มที่
“ถ้าแนนชอบไปร้านเหล้า งั้นวันหลังเราไปด้วยกันมั้ย” อู๋ถามพร้อมรอยยิ้ม
“เห็นบุ๋มบอกว่าไม่กินเหล้าไม่ใช่เหรอ แล้วจะไปทำไม” ฉันตอบกลับ
“...” อู๋ฟังฉันแล้วเงียบไปทันที
ยัยบุ๋มกับป๊อบปี้คงเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศมาคุระหว่างอู๋กับฉัน จึงชวนคุยเรื่องอื่นไป
แต่ก็ไม่วายเรื่องนายอู๋เพื่อนรักของพวกมัน
“แปลกนะเนี่ยที่วันนี้แนนชวนมาร้านนม” ป๊อบปี้ถามฉัน
“ก็เซ็งๆ” ฉันตอบสั้นๆ
“เซ็งอะไรเหรอ คนไร้แฟน รึว่าเหงา บอกให้มีแฟน ก็ไม่ยอมมี” ป๊อบปี้พูดต่อ
“ก็ยังไม่อยากมีใคร”
“งั้นดูๆ ไปก่อนก็ได้นี่ ถ้าใช่ก็ค่อยคบ ใครบางคนแถวๆ นี้รอได้นะ”
“ไม่อยากให้ความหวังใคร ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ใช่ ก็ปล่อยให้เขาไปหา
คนใหม่ที่รักเขาไม่ดีกว่าเหรอ” ฉันว่าเสร็จก็ขยับตัวจะลุกขึ้น แต่โดนมือของคนที่ฉัน
เพิ่งปฏิเสธไปกลายๆ เมื่อครู่ดึงให้ฉันนั่งลงอีกครั้ง เพื่อนๆ ของฉันทุกคนต่างทำหน้าตกใจ
ฉันเองก็ตกใจไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้ เพราะปกติแค่มองหน้าฉันตรงๆ เขาก็ยังไม่กล้า
ฉันมองหน้าเขานิ่งๆ แต่ก็ยอมนั่งต่อ คุยให้จบๆ กันไปเลยก็ดี
“มีอะไรเหรอ” ฉันถามอู๋เสียงห้วนๆ
“ยังไม่ดูเลย แล้วแนนมั่นใจได้ยังไงว่าเราไม่ใช่” อู๋พูดเสียงนิ่ง แล้วมองหน้าฉัน
แต่สีหน้าของเขาฉันมองออกว่าเขากำลังเจ็บปวด นั่นมันทำให้ฉันรู้สึกผิด
“เรามั่นใจว่าอู๋ไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับเรา” ฉันมองหน้าเขาและพูดอย่างจริงใจ
“ต้องเป็นแบบไหนถึงจะเรียกว่าใช่” เขาพูดต่อ เสียงเขาสั่นและเหมือนว่ากำลังจะร้องไห้
“บอกไม่ได้ แต่เรารู้แค่ว่าเราชอบอู๋ไม่ได้” ฉันเริ่มลำบากใจในการตอบ
“ขอเหตุผลหน่อยได้มั้ย เราชอบแนนมานานมากๆ แต่แนนตัดสินเราแค่ในช่วงไม่กี่เดือน
นี่เหรอ” แล้วน้ำตาเขาก็ไหลออกมา ป๊อบปี้จึงรีบลุกมาปลอบเพื่อนตัวเอง แล้วส่งสายตาเชิง
ตำหนิมาให้ฉันส่วนบุ๋มกับอ๊อฟนั้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเต็มที
“เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินใครทั้งนั้น มันอยู่แค่ว่าใช่กับไม่ใช่ ความรู้สึกมันบอกอย่างนั้น และเรา
ชอบใครไม่ได้อีกแล้ว อย่าหวังอะไรจากเราอีกเลย” ฉันพูดเสียงดังด้วยความคับข้องใจทั้งหมด
“ทำไมแนนถึงบอกว่าชอบใครไม่ได้อีกแล้ว แนนมีแฟนใหม่แล้วเหรอ ทำไมบุ๋มไม่รู้” บุ๋มซัก
“มีแล้ว แต่เค้าอยู่ในใจ บอกใครไม่ได้” ฉันตอบได้แค่นั้น เพราะฉันกลัวว่าหากฉันพูดออกไป
แล้วฉันจะสูญเสียเขาไป
“เพื่อนกัน ทำไมบอกกันไม่ได้” อ๊อฟพูดเสียงแข็ง
“บอกไม่ได้ก็คือบอกไม่ได้” ฉันพูดเสร็จแล้ววางเงินไว้ที่โต๊ะแล้วเดินออกจากร้าน
แล้วก็ได้ยินเสียงอู๋ตะโกนตามหลังฉันมา
“ชอบเขาข้างเดียวใช่มั้ยล่ะ แล้วรู้สึกยังไงล่ะ มันเจ็บปวดใช่มั้ย แนนเข้าใจเรารึยัง!!”

จากนั้นฉันก็มุ่งหน้ากลับบ้านด้วยความรู้สึกที่แย่สุดๆ นี่ฉันทำร้ายจิตใจของใครหนึ่งคน
แล้วกำลังจะทำร้ายจิตใจของใครอีกหลายๆ คน ฉันมั่นใจว่าถ้าฉันบอกเรื่องนี้กับบุ๋ม บุ๋มคงไม่ขัดข้อง
แต่ถ้าบอกกับอ๊อฟ ยัยนี่คงโกรธฉัน และไม่เข้าใจฉันแน่ๆ ฉันคิดอยู่เสมอว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม
มันควรอยู่อย่างเปิดเผย และไม่ควรหลบซ่อน ฉันจึงไม่เคยลังเลที่จะบอกรักใครก่อน แต่คราวนี้มัน
ไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่หัวใจของฉันมันอึดอัดจวนจะระเบิดอยู่แล้ว นี่คงเป็นครั้งแรกของฉันที่เหตุผล
มันอยู่เหนือความรู้สึก ฉันจะมีโอกาสได้พูดคำนี้กับเขามั้ยนะ ‘แนนรักเป้ง’
พอฉันกลับถึงบ้าน ฉันไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกแย่ๆ พวกนี้ยังไง ฉันได้แต่นั่งคุยกับไ
อ้จัมโบ้(หมาน่ะ) ถึงมันจะไม่เข้าใจที่ฉันพูด แต่เหมือนมันจะตั้งใจฟังคำพูดของฉัน
“เป็นหมานี่มันต้องมีอะไรให้ลำบากใจในมั้ย จัมโบ้”
“หงิงๆ แหะๆ ^ ^”
“ถ้าเป็นหมาแล้วไม่ต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ อย่างนี้ ชาติหน้าไปเกิดเป็นหมากับจัมโบ้ดีกว่าเนอะ”
ฉันพูดพร้อมกับลูบหัวมันเบาๆ
“หงิงๆ”
“เอ็งเคยอยากบอกรักใครสักคนนึงจนใจจะขาดแต่บอกไม่ได้มั้ยวะ ทำไมมันถึงทรมานอย่างนี้นะ”
“...”
“เฮ่อ เป็นหมานี่ดีเว้ยยย เนอะโบ้” ฉันได้ระบายออกมาบ้างแล้วก็รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย
จากนั้นก็ไปอาบน้ำ เตรียมตัวนอน แล้วคืนนี้ฉันจะนอนหลับมั้ยเนี่ย -_- ;

ไม่มีความคิดเห็น: