วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 2

ฉันกำลังยืนมองใครคนหนึ่ง ในสถานที่ที่ค่อนข้างคุ้นเคยสำหรับฉัน เหมือนว่าฉันกำลังรอ
ใครซักคน ณ ที่ตรงนี้ แล้วทำไมฉันรู้สึกเศร้าอย่างนี้นะ น้ำตาของฉันมันยังคงไหลอาบแก้ม
ของฉัน ข้างๆ ฉันมีแม่ของฉันที่ยืนจับมือฉันอยู่ พี่ชายทั้งสองคนของฉันก็โอบไหล่และจับ
มือข้างที่เหลือของฉัน ฉันหันไปมองหน้าพวกเขา ในแววตาของแม่และพี่ของฉันทำไมมัน
ถึงได้เศร้า เสียใจขนาดนี้นะ เอ๊ะ! แล้วนั่นแผ่นหลังของผู้ชายคนนั้นที่กำลังเดินเข้าไปใน
ประตูเหล็กอันใหญ่ มืดทึบ และดูน่ากลัวเหลือเกิน แล้วแม่ก็บีบมือของฉันแรงขึ้นแล้วบอก
“นั่นไงป๊าของหนู ป๊ากำลังจะเข้าไปข้างในแล้ว” ฉันก็มองตามสายตาของแม่ สบจังหวะ
พอดีที่ป๊าฉันหันหน้ามา แล้วน้ำตาของฉันก็ไหลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันจึงรีบวิ่งไปหาป๊าที่
กำลังจะเข้าไปในประตูนั้น พี่กับแม่ของฉันจึงวิ่งตามฉันมา ฉันเข้าไปกอดป๊าแล้วป๊าก็อุ้ม
ฉันขึ้นมา ถึงดวงตาของฉันจะพร่าเบลอไปด้วยน้ำตา แต่ฉันก็รู้ว่าป๊าของฉันกำลังร้องไห้
เหมือนกัน ป๊ากอดฉันไว้แน่น ปากฉันก็พร่ำบอกกับป๊าว่า ป๊าอย่าเข้าไป อย่าไปเลย
ฉันร้องจนสุดเสียง เมื่อแม่มาดึงฉันออกไปจากอ้อมกอดของป๊า ฉันมองหน้าแม่และพี่
ก็พบว่าพวกเขาก็กำลังร้องไห้เช่นเดียวกับฉัน แม่ส่งฉันให้พี่ แล้วแม่ก็เดินไปกอดป๊า
“ไม่ต้องห่วงทางนี้ ฉันจะดูแลลูกของเราเอง” ฉันมองป๊ากับแม่กอดกัน ฉันรู้สึกเหมือนใจ
จะขาดแล้วป๊าของฉันก็เดินเข้าไปประตูนั้น ฉันกรีดร้องสุดเสียง สติของฉันก็พลันดับวูบลง

“ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ” เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ฉันเอื้อมมือไปปิดมันแล้วจึงลุกขึ้นนั่งโดยไม่มี
อาการงัวเงียแต่อย่างใด แต่ตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกเศร้า คราบน้ำตาที่ยังเปรอะเปื้อนอยู่บน
ใบหน้านั้นแสดงถึงความเศร้าเสียใจของฉันได้ดี แม้ว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน เป็นความฝัน
ที่ฉันฝันซ้ำเหมือนเดิมๆ แทบจะในทุกคืนค่ำ บ่งบอกถึงความฝังใจในเหตุการณ์นั้นได้เป็น
อย่างดี แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นมาเนิ่นนานแล้วตั้งแต่ฉันอยู่แค่ ม.1 พ่อของฉันที่ต้อง
เข้าไปอยู่ในเรือนจำ ตั้งแต่นั้น จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่ได้รับอิสระ ทั้งที่พ่อของฉันไม่มีความผิด
ใดๆ เพียงแค่ไปอยู่ในสถานการณ์ที่ผิดเท่านั้นเอง ทุกเหตุการณ์นั้นมันยังฝังอยู่ในหัวของฉัน
จนไม่สามารถที่จะลบเลือนไปได้เลย แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานเท่าใด แม่ของฉัน
เองก็ไม่เคยผิดสัญญาที่ให้ไว้กับป๊า แม่ยังคงดูแลฉันกับพี่เป็นอย่างดี โดยไม่มีอะไรขาดตก
บกพร่อง แม่รักษาสัญญาเสมอ แต่ไม่เคยรักษาหัวใจของป๊าและรักษาความรู้สึกของผู้เป็น
ลูกอย่างฉัน เพราะแม่มีสามีใหม่ นั่นเองที่ทำให้ ฉันและแม่มีอันบาดหมางกันจนถึงทุกวันนี้
ถึงแม้ว่าแม่จะพยายามทำดีกับฉันมากกว่าพี่ของฉัน ง้อฉัน ดูแลทุกสิ่งอย่าง และจะให้
ทุกอย่างตามที่ฉันขอ ฉันก็ไม่เคยให้อภัยแม่ได้เลยสักครั้ง

วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่แม่มาทำดีกับฉัน แม่ซื้อปาท่องโก๋เจ้าประจำ มาพร้อมกับกาแฟเข้มๆ
และสังขยาเจ้าโปรด มาให้ฉัน แถมด้วยตับปิ้งให้จัมโบ้อีกด้วยฉันเองก็สงสัยว่าที่แม่ซื้อมา
นั้น แม่จะรู้มั้ยว่าฉันเองก็ไม่ได้ชอบมันซักเท่าไหร่ แต่มันเป็นสิ่งที่พ่อของฉันชอบกินเป็น
ที่สุดเมื่อตอนที่ท่านมีอิสระ ฉันพยายามที่จะทำทุกอย่างให้ระลึกถึงพ่อของฉันเสมอ ให้
เหมือนว่าท่านยังอยู่กับฉัน ขณะที่ฉันกินของพวกนั้นด้วยความหิว โดยที่ไม่รู้ว่าแม่ฉันอยู่
จากนั้นแม่จึงเดินมาหาฉัน
“อร่อยไหมลูก กาแฟน่ะอย่ากินให้มากนัก ยังเด็กยังเล็ก” แม่ถามฉันด้วยสีหน้ายิ้มๆ
แต่ฉันไม่ตอบ แต่คิดในใจว่า ไม่อยากให้ฉันกินกาแฟ แล้วซื้อมาให้ทำไม
“มีเงินใช้รึเปล่าลูก ที่โรงเรียนหนูต้องจ่ายค่าอะไรมั้ย” แม่ยังคงถามฉันต่อ
“มีอยู่ แต่ที่โรงเรียนก็ไม่ต้องจ่ายค่าอะไร” ฉันตอบแม่เสียงห้วน แม่ของฉันขมวดคิ้ว
นิดๆ กับคำตอบของฉัน จากนั้นจึงยิ้มออกมา แล้วก็ยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้ฉัน แต่ฉันไม่
รับ แม่ขมวดคิ้วแล้ว จึงพูดขึ้นมาเสียงเบาๆ ว่า
“เอาไปเถอะลูก แม่รู้ว่าหนูลำบาก แม่ไม่อยากให้หนูต้องไปรับจ้างทำนู่น ทำนี่กับญาติ
ฝ่ายโน้นเลย” แม่ว่าพลางถอนหายใจ พอฉันได้ยินแม่พูดอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้ฉันหงุดหงิด
“แม่เก็บไว้เถอะ ญาติทางโน้นเขายินดีช่วย ไม่เหมือนญาติทางนี้หรอก แล้วหนูก็ไม่ได้
ไปขอเขากิน หนูแลกเปลี่ยนเงินกับแรงของหนู แม่ไม่ต้องห่วงหรอก ว่าเขาจะเอาเปรียบ
หนู หนูโตแล้ว” ฉันไม่ชอบความคิดของแม่เกี่ยวกับญาติทางพ่อของฉัน ทั้งๆที่พวกเขา
ช่วยเหลือฉันทุกอย่าง แม่ก็จงเกลียดจงชังนัก ต่างกับญาติทางแม่ของฉัน ไม่เคยมีใคร
ช่วยเหลืออะไรฉันซักอย่าง ยกเว้นช่วยด่า กับช่วยซ้ำเติม แล้วเสียงรถยนต์ของใครคน
หนึ่งมาเทียบจอดที่หน้าบ้าน ทำให้ฉันถึงกับขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดและอารมณ์เสีย
“จะไปกันรึยังครับคุณ ทางนี้เสร็จแล้วนะ” เสียงสามีแม่ร้องดังเข้ามา พร้อมกับโผล่หน้า
มาให้ฉันเห็นแล้วยิ้มให้ฉันอย่างหวาดๆ แล้วถามฉันพอเป็นพิธี
“สบายดีมั้ย น้องแนน”
“อ๋อ สบายดีค่ะ ยังอยู่ดีมีความสุข” ฉันตอบไปอย่างนั้น ด้วยคำที่ฟังสุภาพแต่ไม่มีแม้
รอยยิ้ม แถมน้ำเสียงยังไม่มีความเคารพที่ควรพึงทำต่อผู้อาวุโส แม่ฉันได้ยินอย่างนั้น
ก็เอาเงินวางไว้ที่โต๊ะกินข้าว จึงเดินออกไป แล้วส่งเสียงแว่วๆ ให้ฉันได้ยินว่า จะโทรหา
ฉัน เฮ่อ จากนั้น ฉันก็น้ำตาคลอหน่วย เพราะหัวใจของฉันมันเจ็บปวดและเหนื่อยล้า
เหลือเกิน ฉันอยากคุยดีๆกับแม่ อยากกอดแม่เหมือนเมื่อก่อน แต่พอฉันจะทำอย่างนั้น
สีหน้าที่แสนจะเจ็บปวดของป๊าตอนที่ได้รู้ว่า แม่มีใครใหม่ก็ลอยขึ้นมาทันที ฉันจึงรู้สึก
ผิดกับป๊าที่ฉันจะทำอะไรดีๆ กับแม่ ฉันปล่อยตัวเองนั่งนิ่งๆ อยู่ที่โต๊ะกินข้าว คิดอะไร
ไปเรื่อยเปื่อย มือก็คนปาท่องโก๋กับกาแฟไปอย่างนั้น นั่งอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้จนเสียง
โทรศัพท์ดังขึ้น ฉันจึงลุกไปรับ
“(แนน นี่บุ๋มเองนะ ว่างรึเปล่า)” เสียงเพื่อนสนิทร่วมก๊วนของฉันดังขึ้น
“ว่าง”
“(ไปส่งบุ๋มหา ป๊อบปี้หน่อยสิได้มั้ย)” ไอ้บุ๋มถามฉันเสียงอ้อนๆ
“ที่ไหน”
“(บ้านอู๋)”
“อืม เดี๋ยวไปรับ” ฉันตอบไปจากนั้นก็วางสายทันที บุ๋มเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของฉันตั้งแต่
ม.ต้นแล้ว เราสนิทกันมากจนเหมือนปาท่องโก๋ที่ตัวติดกันตลอด แม้ว่าฉันกับบุ๋มจะอยู่คน
ละห้อง และมีนิสัยที่แตกต่างกันสุดขั้ว บุ๋มร่าเริง สดใส มีจริตมารยาแบบหญิงสาวเต็ม
เปี่ยม(กระแดะนั่นเอง) กล้าแสดงออก ซึ่งเป็นที่หมั่นไส้ของรุ่นพี่ผู้หญิงในโรงเรียน
จนต้องมีรุ่นพี่มาหาเรื่องอยู่บ่อยๆ ส่วนฉันนิ่ง เงียบ แต่ไม่ใช่คนขี้อาย มีใจนักเลงตามที่
พ่อและพี่ชายของฉันปลูกฝังไว้ตั้งแต่เด็กแต่ เป็นที่หมั่นไส้ของรุ่นพี่เพราะฉันเหมือนคน
ที่ดูหยิ่งๆ บวกกับเป็นพื่อนบุ๋มเลยยิ่งโดนสองเด้ง และฉันก็เป็นคนคอยแก้เรื่องและ
ออกโรงแทนบุ๋มอยู่บ่อยๆ หลายครั้งที่เราสองคนโดนรุ่นพี่นับสิบคนมาล้อมไว้ แต่ก็สามารถ
เอาตัวไปได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ว่าจะด้วยการเอาน้ำสาดใส่ก่อน สาดก๋วยเตี๋ยวมั่ง หรือถ้าหา
อะไรไม่ได้จริงก็โกยเอาดินแถวๆ นั้นแหละปาใส่ลูกตารุ่นพี่ พวกฉันไม่บ้าเลือดพอที่จะ
เอาตัวเองไปเสี่ยงกับตีนนับสิบคู่ของพวกนั้นหรอกนะ จากนั้นจนถึงชั้นปีที่สูงสุดใน
โรงเรียนเราสองคนก็ยังไม่เคยถูกรุมเลยสักครั้ง เรียกว่า ฉันกับบุ๋มนี่ร่วมหัวจมท้าย
ด้วยกันมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว เมื่อฉันอาบน้ำเสร็จแล้ว จึงแต่งตัวด้วยสไตล์เสื้อยืด
กับกางเกงยีนส์ตัวซีดๆ แล้วออกไปรับยัยบุ๋มทันที พอฉันไปถึงก็เห็นยัยนี่ยืนรอที่
หน้าปากซอยแล้ว ฉันยังไม่ทันได้จอดรถดี มันก็กระโดดขึ้นรถ แล้วขย่มพลางตะโกน
ไปโลดๆ ฉันจึงตะโกนด่ามันไป
“กูคนนะ ไม่ใช่ม้า เดี๋ยวถีบตกรถเลย” แค่นั้นล่ะ แม่เพื่อนสาวของฉันจึงยอมนั่งดีๆ
“อีโหดเอ้ย แค่ดีใจจะได้ไปเจอแฟนเอง” เฮ่อ!!
พอไปถึงบ้านอู๋เพื่อนของป๊อบปี้แฟนไอ้บุ๋ม มันก็ชักชวนให้ฉันเข้าไปในบ้านทันที
พอดีฉันกำลังเซ็ง และไม่มีที่จะไปอยู่แล้ว เลยไม่ได้ขัดข้องอะไร พอฉันเข้าไปใน
บ้านแล้วบุ๋มมันก็ตะโกนถามฉันว่า จะดื่มอะไร ฉันไม่ตอบเพราะรู้สึกถึงสายตา
ของใครบางคนจับจ้องที่ฉันอยู่ ฉันจึงหันไปมองก็พบชายหนุ่มที่มีผิวขาว หน้าตา
กลางๆ ถึงดูดีทีเดียว คงจะรุ่นราวคราวเดียวกันจ้องมองฉันอยู่พลางส่งยิ้มให้ แต่
ฉันไม่ได้ยิ้มตอบ แล้วจึงเดินเข้าไปหาบุ๋มที่ครัว เมื่อได้เครื่องดื่มที่ต้องการแล้วก็เข้า
ไปที่ห้องนั่งเล่นของบ้าน ฉันเพิ่งเคยมาบ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก จึงวางตัวไม่ค่อยถูก
รวมทั้งฉันค่อนข้างอึดอัดกับสายตาที่วิบวับของเจ้าของบ้านที่มองฉันตั้งแต่ย่าง
กรายเข้ามา ฉันจึงหันไปมองที่บุ๋ม เหมือนเป็นการปรึกษา บุ๋มก็ได้แต่ยิ้มตอบไม่ว่า
อะไร ฉันจึงได้แต่ถอนหายใจ เพราะรู้สึกถึงลางสังหรณ์ยังไงชอบกล แล้ว
ลางสังหรณ์ก็เป็นจริง เพราะดูเหมือนว่ายัยบุ๋มกับป๊อบปี้แฟนของมัน
กำลังสรรเสริญเยินยอเพื่อนคนนี้ของพวกมันให้ฉันฟังอยู่
“อู๋น่ะ นิสัยดีน้า แฟนก็ไม่มี แถมเรียนเก่งได้ที่หนึ่งในห้องเลยนะแนน”
“แล้วไงอ่ะ”
“ได้ยินว่าแนนเล่นกีต้าร์ด้วย อู๋มันก็เล่นเป็นเหมือนกันนะ” ป๊อบปี้พูดขึ้นอีก
“อืม อย่างงั้นเหรอ” ฉันตอบไปอย่างนั้นเอง
“มันเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งโฟล์คซอง สาวๆ กรี๊ดมันใหญ่เลย”
“จะเอาอะไรกันแน่ ป๊อบปี้!!” และความอดทนของฉันก็หมดลง
“เอ่อ...แนนก็ไม่มีใครมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ลองคบกับอู๋ดูล่ะ” บุ๋มพูดขึ้น
นั่นไง ว่าแล้วเชียว ฉันจึงยิ้มออกมา แต่มันคงเป็นยิ้มที่ไม่น่าพิสมัยสำหรับบุ๋มเท่าไหร่
พอบุ๋มเห็นฉันยิ้มอย่างนั้น มันถึงกับหุบยิ้มไปทันที
“ทั้งนิสัยดี ทั้งเรียนเก่ง ทำไมไม่มีแฟน” ฉันถามเสียงห้วนๆ
“เรายังไม่มีแฟนจริงๆ ไม่ได้โกหกนะ” อู๋ละล่ำละลักบอกกับฉัน
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่สงสัย”
“อู๋มันสนใจแนนมานานแล้วนะ แต่ไม่มีโอกาสเข้าหาสักที” ป๊อบปี้พูดแทนเพื่อน
“จะเอาไว้คิดดูแล้วกัน” ตอบเสร็จแล้วฉันก็ลุกขึ้น เดินออกจากบ้านหลังนั้นโดยไม่หัน
หลังกลับไปมองเพื่อนรักที่ฉันพามาด้วยแม้แต่น้อย บ้าจริง!! ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด โว้ยยย!!
อยากจะตะโกนบอกมันว่า ถ้ากูคิดจะมี!! กูก็มีปัญญาหาแฟนเองได้เว้ย!!! พลางคิดในใจ
วันนี้มันเป็นวันอะไรวะ มีแต่เรื่องแต่ราว ทำไมเรื่องราวมันไม่หยุดเกิดขึ้นให้สมกับ
วันหยุดหน่อย ว่าแล้วฉันก็บึ่งมอไซค์คันโปรดของฉันไปที่ตลาดสดเพื่อทำงานหาเลี้ยงชีพ
ต่อไป วันนี้วันหยุดมี OT ให้ทำด้วย (รับจ้างขายของนั่นเอง) ค่อยยังชั่ว -*-