วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 5

กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง! เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นอย่างระห่ำในยามเช้าตรู่ของวัน ฉันก็เลยต้องจำใจ
ลุกไปรับโทรศัพท์
“โอ้ยๆ รู้แล้วจ้า รู้แล้ว ใจเย็นๆ” ฉันบ่นพลางเดินไปรับโทรศัพท์
“(งานการน่ะ จะไม่ทำใช่มั้ย กี่โมงกี่ยามแล้วยังไม่มาอีก)” เสียงอาโกของฉันดังแปดหลอด
มาจากโทรศัพท์ ง่ะ แล้วกี่โมงแล้ววะเนี่ย คิดเสร็จก็หันไปมองนาฬิกา
“หา!!! 9 โมงแล้วเหรอเนี่ย” ฉันอุทานเสียงดัง
“(เออ ก็ใช่น่ะสิ จะเสด็จออกมาได้รึยัง)”
“ค่ะๆ เดี๋ยวรีบแต่ตัวออกไปเดี๋ยวนี้ค่ะ อาโก” แง้ ก็เมื่อคืนฉันแทบไม่ได้นอนเลยนี่นา
แล้วฉันก็รีบอาบน้ำแต่งตัวด้วยความเร็วแสง แล้วรีบบึ่งมอไซค์ออกจากบ้านทันที

ไปถึงบ้านอาโก หรือสถานที่ทำงานของฉันนั่นเอง ทุกๆ เช้า ฉันต้องมาจัดแผงขายมีด
ให้อาโก ก็เห็นอาโกยืนทำหน้ามุ่ยอยู่หน้าบ้าน แล้วต่อว่าฉันนิดหน่อย
“เร็วๆ สายแล้วนะ แล้วนี่ต้องไปโรงเรียนอีก จะถึงโรงเรียนกี่โมงกัน”
“ค่ะๆ” ฉันจึงรีบก้มหน้าก้มตาจัดแผงขายมีดอย่างด่วนที่สุด เมื่อเสร็จแล้วฉันก็รีบเดินทางไป
โรงเรียนทันที เฮ่อ แล้วนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ถูกลงชื่อผู้มาสาย แล้วก็มาไม่ทันเรียนชั่วโมงแรก
อีกต่างห่าง T^T แต่ก็ดีแล้วล่ะ ที่ฉันไม่ต้องเจอบุ๋มกับอ๊อฟในตอนเช้า เพราะสองคนนั้นคง
ซักฉันเป็นการใหญ่แน่ๆ เพราะเมื่อคืนฉันไม่ยอมรับโทรศัพท์จากใครเลย

“ชั่วโมงแรกแนนโดดเรียนเหรอ” ยัยต้นเพื่อนร่วมห้องถามฉัน
“ป่าว ตื่นสายน่ะ ทำไมถึงคิดว่าโดดล่ะ” ยัยนี่มองฉันในแง่ร้ายจัง
“ก็เห็นคาบแรกแนนโดดประจำนี่นา แล้วเมื่อเช้าตอนเข้าแถวก็มีคนบอกว่าเห็นแนนมาแล้วด้วย
อาจารย์เค้าเลยเช็คว่าแนนโดดเรียน”
“หา!!! ว่าไงนะ” ซวย ซวยสนิทละสิฉัน เฮ้อ ช่างมันละกัน เรื่องมันผ่านไปละ จะให้ไป
ถามหาว่าใครปากหาเรื่องไปบอกอาจารย์อย่างนั้นก็คงไม่มีใครยอมรับหรอก
“ช่างมันเหอะว่ะ” ฉันพูดออกไปอย่างเซ็งๆ
“เอ๋ มันเป็นคนบอกอาจารย์นะแนน” ต้นพูดขึ้นมาอีกครั้ง เพราะยัยนี่มันรู้ว่าฉันไม่ค่อยกินเส้น
กับยัยเอ๋เท่าไหร่ ทำให้ฉันลืมความคิดเมื่อกี้ไปในบัดดล เอ๋บอกอย่างนั้นเหรอ เมื่อฉันได้รู้อย่างนั้น
ฉันจึงเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปที่ห้องเรียนอย่างรวดเร็ว แล้วก็เจอคู่กรณีของฉันนั่งอยู่ในห้องพร้อมกับ
เพื่อนๆ อีกหลายคน ฉันรู้สึกว่าเพื่อนหลายๆ คนในห้องมองฉันอย่างหวาดๆ จะด้วยเหตุผลอะไร
ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่ฉันไม่สนใจหรอก เพราะสนใจยัยคนที่ให้ร้ายฉันที่นั่งหน้าซีดอยู่นั่นมากกว่า
“เอ๋ เราขอคุยอะไรด้วยหน่อย” ฉันพูดเสียงเรียบ แต่ไม่จัดว่าเบา แล้วในทันใดห้องเรียนที่เต็มไป
ด้วยเสียงอึกทึกก็เงียบสนิท ฉันสังเกตเห็นเพื่อนหลายคน บอกให้เอ๋ออกมาคุยกับฉันที่หน้าห้อง
พร้อมให้กำลังใจยัยเอ๋เต็มที่ ทำอย่างกับจะยัยนั่นจะออกมาสู่สนามรบ แล้วยัยพวกในห้อง
เห็นฉันเป็นอะไรนะ ฉันแค่จะเคลียร์ให้รู้เรื่องเฉยๆ จะพิรี้พิไรอะไรขนาดนั้น ฉันจึงส่งเสียงเร่ง
“เร็วๆ เดี๋ยวอาจารย์มา” คำพูดของฉันมันฟังดูน่ากลัวขนาดนั้นเลย ยัยเอ๋มันถึงตัวสั่นระริกเชียว
“เอ่อ .. แนน เรื่องเมื่อเช้าเอ๋ไม่ได้ตั้งใจบอกอาจารย์นะ” ยัยเอ๋รีบออกตัว
“ไม่ได้ตั้งใจแล้วไปบอกทำไม” ฉันถามเสียงเรียบ สายตาของฉันไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร
“ก็เอ๋แค่พูดกับนุชว่าเหมือนจะเห็นแนนเข้าแถวที่ห้อง 4 น่ะ แล้วอาจารย์ก็มาได้ยิน”
“แล้วทำไมต้องพูดถึงเราด้วย เราไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”
“เอ๋แค่เป็นห่วงที่ไม่เห็นแนนเข้าเรียน อย่าโดดเรียนให้มากนักเลยนะแนน”
“นั่นมันก็เรื่องของเรา เกี่ยวกันตรงไหน” ฉันพูดกับเอ๋อย่างเย็นชา จนเอ๋มีน้ำตาคลอขึ้นมา
ฉันจึงรีบเบือนหน้าหนีอย่างช่วยไม่ได้
“ทีหลังไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องมองหา แล้วก็ไม่ต้องห่วงใยอะไรทั้งนั้น”
“เรื่องที่ผ่านมาน่ะ ยกโทษให้เอ๋เถอะนะ” ยัยเอ๋ว่าเสร็จน้ำตาก็ไหลออกมาพรากๆ
ทำเอาฉันตกใจไม่น้อย แต่ก็ต้องทำเป็นไม่สนใจ
“พวกเธอทำอะไรกันน่ะ มายืนอะไรหน้าห้อง อ้าว! แนนทำไรเอ๋น่ะ”
เสียงอาจารย์ประจำชั่วโมงนี้ดังขึ้นมา พร้อมกับคำพูดที่ปรักปรำฉันทันที ฉันจึงมองหน้า
ยัยเอ๋นิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วฉันจึงเดินเข้าห้องเรียน แต่ไม่มีกะใจเรียนรู้อะไรทั้งนั้น
ขอเล่าถึงเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังหน่อยแล้วกัน ฉันกับเอ๋เป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปี
ฉันเป็นคนที่จริงใจและเชื่อใจเพื่อนมากๆ ฉันไม่เคยคิดระแวงหรือจับผิดเพื่อนของฉันเลย
สักครั้ง ตลอดเวลาฉันจะไปไหนมาไหนกับเอ๋เสมอ จนฉันรู้สึกว่าเธอเป็นน้องสาวของฉัน
ที่ฉันต้องดูแลและห่วงใยเธอมาตลอด โดยฉันไม่เคยได้รู้เลย ว่าเธอคนนั้นคิดไม่เหมือนฉัน
นินทาลับหลังฉัน พูดหักหน้าฉันหลายต่อหลายครั้ง แม้ว่าเรื่องพวกนี้ฉันไม่เคยจะใส่ใจ
เพราะถือว่าเป็นนิสัยส่วนตัวของเธอ แต่เหตุการณ์หนึ่งที่ฉันยอมรับไม่ได้ คือ เธอแอบจีบ
แฟนของฉัน และไอ้ผู้ชายเลวคนนั้นทำท่าว่าจะไปคบกับเธอ ฉันเสียใจและผิดหวังที่สุด
ฉันไม่เคยเสียดายผู้ชาย แค่เอ่ยปากว่าชอบ ฉันก็พร้อมถอนตัว แต่เธอหักหลังฉัน
ทำในสิ่งที่ฉันเกลียดที่สุด คือการโกหกและหลอกลวงฉัน จากนั้นฉันจึงเลิกคบกับเอ๋ในทันที
ที่รู้เรื่อง แต่เอ๋ก็พยายามทำดีกับฉัน ทำการบ้าน จดเลคเชอร์ให้ฉันในชั่วโมงที่ฉันโดดเรียน
แต่ฉันก็ไม่เคยคิดที่จะให้อภัยเธอเลยสักครั้ง (เหตุการณ์คุ้นๆ เหมือนใน Chapter 2 เลย)

ตึก ตึก ซ้วบ!! เสียงฉันเลี้ยงลูกบาสที่แอบไปจิ๊กมาจากห้องพละ แล้วชู้ตลงห่วงไป
อย่างสวยงาม เหงื่อฉันเริ่มออกเล็กน้อยหลังจากที่เล่นบาสคนเดียวมาได้สักพักหนึ่ง อาจารย์
หลายคนมองดูฉันแปลกๆ คงคิดว่ายัยนี่คงโดดเรียนมาเล่นบาสอีกตามเคย เฮ่อ ตอนนี้เป็น
ชั่วโมงเรียนก่อนเที่ยงที่ไม่ได้เรียน เพราะอาจารย์ไม่อยู่เลยให้อ่านหนังสือเงียบๆ ในห้องเรียน
หลังจากที่ฉันคุยกับเอ๋เมื่อเช้าแล้วโดนอาจารย์ปรักปรำ ฉันยิ่งไม่มีกะใจอยู่ในห้องที่มีบรรยากาศ
อึดอัดอย่างนั้น ฉันเลยชิ่งออกมา เห็นมั้ย ฉันไม่ได้โดดเรียนจริงๆ นะ
“อ๊ะ!!” ฉันมัวแต่คิดเพลินๆ ลูกบาสเลยหลุดมือกลิ้งออกไป แล้วก็เห็นมือใครคนหนึ่งคว้าลูกบาส
ขึ้นมา ก่อนจะหันมายิ้มให้ฉัน ทำเอาฉันถึงกับหน้าร้อนวูบ มาได้ไงเนี่ย เขาไม่เรียนเหรอวะ
“เล่นห่วยแล้วยังมาโชว์เดี่ยวอีก” เป้งพูดพลางยักคิ้วกวนๆ ให้ฉัน
“แค่ลูกหลุดมือ มันพิสูจน์ไม่ได้หรอกว่าเล่นห่วย” ฉันพูดอย่างมีอารมณ์
“งั้นมาพิสูจน์กันมั้ยล่ะ” เป้งพูดด้วยน้ำเสียงชวนหมั่นไส้สุดๆ
“ได้ งั้นมาแข่งชู้ตลูกกัน” ฉันตอบกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ หึๆ ให้มันรู้ไปว่าฉันจะแพ้ลูกชู้ตที่ฉัน
ถูกฝึกโดยพี่ชายคนเก่งของฉันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่... อีตานี่ก็เล่นบาสเก่งใช่เล่นนี่นา ถึงจะสูงกว่าฉัน
นิดหน่อยแต่คงไม่ใช่ปัญหาหรอกมั้ง ลุยโลด
“ให้แนนเริ่มก่อนละกัน ไม่อยากกดดัน” เป้งพูดด้วยสีหน้ามั่นใจสุดๆ
“หึหึ” ฉันหัวเราะในลำคอตอบกลับไป พลางคิดว่า รู้จักฉันน้อยไปซะแล้ว
ตึก ตึก ซ้วบ!! “อ่าฮะ ลงไปอีกแล้ว ว้า...” หลังจากที่ฉันชู้ตลูกสุดท้ายลงไป ฉันตั้งใจทำเสียง
อย่างชวนหมั่นไส้ เพื่อยั่วอารมณ์ใครบางคน
“ว้า เสียดายจริงๆ ที่ไม่ลงตั้ง 2 ลูก แต่ยังดีที่เข้าไปตั้ง 8” ฉันแหย่เข้าไปอีก
“...” เป้งยังเงียบแต่มองฉันอย่างเครียดๆ
ตึก ตึก เคร้ง!! “บ้าชิบ” เสียงสบถดังออกมาจากปากคนที่ท้าฉัน หลังจากที่ชู้ตลูกแรกไม่ลง
“สู้ๆ นะ ยังเหลือตั้ง 9 ลูกให้ชู้ต แต่ต้องให้ลงทุกลูกนะถึงจะชนะเรา ฮิฮิ”
“เออ” เสียงตอบรับห้วนของเป้ง บ่งบอกว่ากำลังหงุดหงิดสุดๆ
“กึกๆ” เสียงฉันกลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย หลังจากคนเก่งนั้นแพ้ฉันอย่างหมดท่า
เพราะชู้ตลงไปแค่ 5 ลูก ท่าทางจะเสียหน้าน่าดูเชียว
“2 ใน 3 ถึงเรียกว่าชนะ!!” เสียงพูดดังขึ้นอย่างเอาแต่ใจ จากคนไม่ยอมแพ้ ทำเอาฉัน
ชะงัก หืม 2 ใน 3 งั้นเหรอ
“ไม่เอา ขี้เกียจ เหนื่อยแล้วด้วย” ฉันบอก แต่พอมองดูหน้าเขาแล้วก็อดใจอ่อนขึ้นมาไม่ได้
เฮ่อ เห็นแก่หน้าหล่อๆ นั่นหรอกนะ แต่ถ้าจะให้สนุก ก็ต้องมีอะไรมาเดิมพันนิดๆ หน่อยๆ สินะ
“เออ ก็ได้ แพ้เลี้ยงข้าวนะ” ฉันบอก เป้งได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างถูกใจ แล้วบอกกับฉัน
“ได้ เตรียมเงินไว้ล่ะ”
ฉันให้เป้งเป็นคนเริ่มก่อนจะได้สนุกหน่อย แล้วในที่สุดเขาก็ชู้ตลูกลง ...8 ใน 10 เหรอเนี่ย
แย่แน่ยัยแนนเอ้ย ใจฉันเริ่มหวั่นนิดๆ ชักกลัวเสียเงิน
“หึ หึ สู้ๆ นะ” เป้งส่งเสียงเรียบๆให้ฉัน แต่แววตานั้นชอบใจสุด เหมือนคนกำลังได้ของเล่น
ชิ้นใหม่ยังไงยังงั้น
ตึกๆ เคร้ง ง่ะ ลูกแรกไม่ลง ซวยสนิท งั้นลูกที่เหลือก็ต้องลงทุกลูกน่ะสิ ถึงจะชนะอีตานี่
เอาวะ ตึกๆ เคร้ง... ฮ่า!!! สงสัยเพราะไม่มีอารมณ์จะเล่นเท่าไหร่ถึงทำให้ฉันชู้ตได้ห่วย
อย่างนี้ ฉันจึงแอบไปมองหน้าคู่ปรับของฉัน ก็พบใบหน้าที่กำลังยิ้มกริ่มอย่างไม่คิดจะปิดบัง
ฉันยิ่งหงุดหงิด ฉันเลยชู้ตลูกที่ 3 ไปมั่วๆ เพื่อจบเกมตานี้ แล้วเริ่มเกมใหม่ เกมตัดสิน!!
ฉันเป็นคนเริ่มก่อน ฉันพยายามตั้งสมาธิเต็มที่แล้วชู้ตลงห่วงไปทั้งหมด 8 ลูก
เห็นสีหน้าเป้งเรียบๆ คงเครียดที่ต้องเลี้ยงข้าวฉันล่ะมั้งถ้าเกิดเขาแพ้ขึ้นมา ตอนนี้เป้งชู้ตลงไปแล้ว
4 ลูก ไม่ลงไปแล้ว 1 เผลอแปบเดียวลงไปอีก 3 นี่ถ้าเขาชู้ตลงทั้ง 2 ลูกก็ชนะน่ะสิ เพี้ยงๆ
สาธุๆ ขอให้ไม่ลงทั้ง 2 ลูกทีเถอะ หรือไม่ก็ไม่ลงซักลูกก็ได้ อย่างน้อยก็เสมอ
ตึกตัก ตึกตัก เฮ้อ แล้วทำไมหัวใจฉันต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วยนะ ข้าวจานแค่ 20 บาทเอง
แต่ฉันคิดว่านั่นไม่ใช่สาเหตุหรอก คงเพราะฉันมองหน้าและท่าทางของเขาตอนตั้งใจชู้ตลูกมากๆ
มากกว่า สีหน้าที่นิ่งสนิท เหมือนตั้งสมาธิสุดๆ ท่าตอนชู้ตก็แสนจะเท่ระเบิด ถึงแม้ท่าทางจะดู
ไม่โปรเหมือนพี่ชายของฉันก็เหอะ แล้วฉันก็ได้เห็นรอยยิ้มโผล่มานิดๆ จากริมฝีปากสีแดงที่ท่าทาง
จะนุ่มนั้น เมื่อลูกลงห่วงไป ฮ้า!!!! ลูกลงงั้นเรอะ งั้นก็แสดงว่าเสมอกันแล้วงั้นเหรอ T_T
ยี่สิบบาทของฉัน จะสูญเสียมันไปมั้ยเนี่ย
“อีกลูกเดียว” เขาว่าแล้วหันมายิ้มให้ฉัน อย่ายิ้มสิที่รัก ฉันจะละลายแล้ว ฉันได้แต่คิดในใจ
แล้วเป้งก็ชู้ตลูกสุดท้าย เคร้ง!!! และลูกสุดท้ายก็ไม่ลง งั้นแปลว่าเสมองั้นสิ ฉันจึงหันไปมองเขา
ก็เห็นรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าดูดีของเขา แล้วเขาก็หันมาทางฉัน
“ป่ะ ไปกินข้าวกัน อ๊ะ รอแป๊บนะ เอาลูกบาสไปซ่อนก่อน” เขาหันมายิ้มร่าให้ฉันอย่างสดใส
...น่ารักจัง แล้วเขาก็ตะโกนให้ฉันถือกระเป๋าของเขาไปให้เขาด้วย จากนั้นเราก็ไปกินข้าวด้วยกัน…

“น้าคะ เอานี่ เอานี่ แล้วก็นี่ด้วยค่ะ” ฉันหันไปชี้นิ้วสั่งข้าวราดแกงกับคุณน้าขายข้าว
แต่ฉันรู้สึกถึงสายตาแปลกๆ ของเป้งที่กำลังมองฉันอยู่
“อะไร” ฉันถามเขา
“ทำไมกินเยอะจังอ่ะ (- -a)”
“ก็คนมันเหนื่อยอ่ะ แล้วก็อยากกินหลายอย่างอ่ะ จริงๆ นี่อยากกินไอ้นั่น แล้วก็ไอ้นู่นด้วยอ่ะ
แต่จานคงใส่ไม่พออ่ะ” ฉันบอกพลางชี้นิ้วไปยังถาดกับข้าวที่ฉันหมายตาไว้ แต่ก็ไม่อาจกินได้
“ประสาท”
“ว่าไงนะ!!” ฉันหันไปแว้ดใส่เขา ก่อนจะเห็นจานข้าวของเขา ฮ้า... น้อยกว่าของฉันอีก
อายจังเลยอ่ะ ฉันจึงควักหาตังเพื่อจ่ายค่าข้าวแก้เก้อ
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเลี้ยง” เป้งพูดขึ้น
“ฮ้า... เลี้ยงได้ไง ไม่ได้แพ้นี่นา”
“ก็อยากเลี้ยงอ่ะ ไม่ได้หรือไง (-_- ;)”
“เอางั้นเหรอ” ฉันถามเพื่อความแน่ใจ
“อือ เอางั้นแหละ” ว้าว โอเชโลด ได้กินข้าวฟรี แต่จะ น่าเกลียดไปมั้ยอ่ะ งั้นเอางี้ดีกว่า
“งั้นให้เราเลี้ยงน้ำละกันนะ ห้ามขัดนะ”
“อืม” เขาหันมายิ้มให้ เขินอ่ะ (*///*)

หลังจากที่เป้งจัดแจงหาที่นั่ง ฉันก็วิ่งปรู้ดไปซื้อน้ำด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
(เวอร์ไปไหมจ๊ะ) เพราะไม่อยากให้เสียเวลาที่ฉันจะได้อยู่กับเป้งสองต่อสอง อิอิ พอซื้อน้ำ
เสร็จแล้วก็รีบจ้ำอ้าว เดินกลับมาที่โต๊ะ
เฮื้อกก!! พวกมัน... พวกมันมากันตั้งแต่เมื่อไหร่ กรี้ด กรี้ด ไอ้พวกบ้าเอ้ย ฉันก่นด่าเพื่อน
ร่วมก๊วนของฉันในใจแล้วเดินไปที่โต๊ะอย่างเซ็งๆ พวกมันพากันมองฉันกับเป้งแปลกๆ บ้างก็เป็น
สายตาสงสัย บ้างก็เป็นสายตาจับผิด บ้างก็เป็นสายตาออกแนวดีใจ เอ่อ (- _- ;) นี่มันอะไรกัน
“ทำไมพวกมึงมานั่งกินด้วยกันสองคนวะ” ไอ้อ๊อฟถาม ด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลงสงสัย
“เอ่อ../...” ฉันกับเป้งยังเงียบอยู่
“...” ทุกคนยังรอคอยคำตอบอยู่
“ก็เล่นบาสกันเหนื่อยๆ เลยชวนกันมากินข้าวอ่ะ ทำไมเหรอ” ฉันตอบเสียงเรียบ ใช้สายตานิ่งๆ ข่ม
ไม่ให้พวกมันเอ่ยปากถามมากไปกว่านี้ ก็ฉันอายนี่นา (-//-)
“เล่นกันตอนไหนอ่ะ คาบที่แล้วมึงไม่ได้เรียนเหรอแนน แต่ห้อง 5 ได้เรียนนี่ พวกมึงโดดเรียน
มาเล่นบาสกันเหรอวะ” ไอ้อ๊อฟยังคงซักต่อ เหมือนว่าฉันไปทำเรื่องผิดจารีตขั้นร้ายแรงยังไงยังงั้น
“เปล่า / อืม” ฉันตอบ แล้วตามด้วยเป้ง
“หืม เป้งโดดเรียนมาเหรอ” ฉันถาม
“...”
“เห็นมันบอกว่าปวดขี้เลยขอครูออกมา มึงไปขี้ที่สนามบาสเหรอวะเป้ง” ด้าพูดขึ้นมา
“อืม / หืม / อา / อิอิ/ ฮ่าฮ่า” เสียงจากผองเพื่อน ทำเอาฉันหน้าร้อนฉ่า แล้วเพื่อนๆ
ก็แยกย้ายกันไปซื้อข้าว ปล่อยให้ฉันกับเขานั่งกันอยู่สองคน
“แถวสนามบาสมีห้องน้ำด้วยเหรอ” ฉันถามเบาๆ
“หึหึ งั้นละมั้ง” ชิส์ ไอ้บ้านี่ จะกวนประสาทฉันไปถึงไหน แต่ฉันก็อดหวังลมๆ แล้งๆ
ไม่ได้ว่าเขาอาจจะตั้งใจลงมาเล่นบาสกับฉัน จากนั้นฉันก็ก้มหน้าก้มตากิน
ถึงจะเขินสุดๆ แต่ก็มีความสุขนะ ^//^

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 4

แล้วหนึ่งวันในการเรียนของฉันก็จบลง แต่ชั่วโมงสุดท้ายเป็นคาบว่างของทุกห้องในชั้นนี่นา
ฮิฮิ ฉันคิดพลางความเมื่อยล้าจากการเรียนของฉันก็หมดไป ฉันเดินฮัมเพลง ระหว่างเดินไป
ที่ข้างสนามบาส ว้า!! ต้องเดินผ่านสามแยกปากหมาเหรอเนี่ย ไม่ชอบเลย อ๋อ ขออธิบาย
ความเป็นมาของสามแยกปากหมาซะก่อนนะ มันเป็นสามแยกที่ตัดทางเดินเพื่อไปยัง
อาคารเรียน 2 และ 3 แล้วบริเวณนั้นจะมีม้าหินอ่อนตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้มีผู้คน
มากมายไปนั่ง แล้วก็มีการแซว พูดหยอกล้อหรือด่ากับคนที่เดิน ผ่านบริเวณนั้น จึงได้ชื่อ
เรียกว่าสามแยกปากหมาด้วยประการฉะนี้ แต่ฉันก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่หรอกนะ
ระหว่างที่ฉันตั้งหน้าตั้งตาเดินผ่านสามแยกนี้ สายตาของฉันก็พลันไปเห็นใครคนหนึ่งที่นั่ง
อยู่กับเพื่อนซี้ร่วมห้องของเขา และข้างๆ เขานั้นเป็นหญิงสาวที่ได้ครอบครองหัวใจของเขา
นั่นเอง เอ่อ ทำไมฉันรู้สึกหน้าชาเหมือนจะเป็นลมขึ้นมาอย่างนี้นะ เมื่อรู้สึกได้ว่าเขากำลัง
จะหันมาทางฉัน ฉันจึงรีบหันหน้าหนีทำเป็นไม่เห็นว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้น แต่ไม่ทันซะแล้ว
“อ้าว แนน!! เลิกเรียนแล้วเหรอ” เสียงของด้าเพื่อนของเขาที่นั่งอยู่ด้วยกัน ก็ดังทักฉัน
ขึ้นมาก่อน ฉันจึงจำใจต้องเดินไปหาเขาที่โต๊ะ
“อืม เรียนเสร็จแล้ว กำลังจะไปสนามบาส ” ฉันพยายามควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น
จากนั้นฉันก็มองไปยังคนที่ทำให้ฉันเป็นอย่างนี้ เขาเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ทำไม่สนใจฉัน
ซะอย่างนั้น เมื่อเห็นอย่างนั้นฉันจึงเดินออกมา ลำคอของฉันแห้งผาก เหมือนมีก้อนอะไร
มาติดที่ลำคอ ฉันจึงเดินไปที่ร้านขายน้ำ ที่อยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุเมื่อครู่ ฉันหันไปสั่งน้ำกับคนขาย
ฉันพยายามไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองที่ที่คนคนนั้นกำลังนั่งอยู่
และเขาก็กำลังมองมาที่ฉัน ฉันจึงเบือนหน้ากลับมาทางเดิม จากนั้นฉันก็หิ้วแก้วน้ำไปยังที่ที่
ฉันตั้งใจตั้งใจจะไปตั้งแต่แรก
ตอนนี้ตัวฉันนั่งอยู่ที่ข้างสนามบาส แต่ใจของฉันมันยังอยู่แถวสามแยกที่ว่า
ฉันหันไปมองตรงนั้นอีกครั้ง ก็ยังเห็นเขานั่งอยู่ที่เดิม ขอบตาฉันร้อนผ่าว เหมือนจะร้องไห้
ฉันได้แต่พร่ำถามตัวเองว่าจะร้องไห้เพื่ออะไร ซึ่งฉันรู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว ฉันจึงหันไปที่
ตรงนั้นอีกครั้ง แต่ไม่เห็นเขานั่งอยู่ที่นั่นแล้ว แต่ผู้หญิงของเขายังอยู่ตรงที่เดิม ฉันได้แต่คิดว่า
ช่างเหอะ เมื่อตัดใจได้แล้วก็หันหน้ากลับมาที่สนามบาส แล้วตัวเองก็ต้องตกใจ เพราะเขากับด้า
มายืนอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว แต่จากเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ฉันวางหน้าไม่ถูก
“มองอะไรอยู่เหรอ เห็นมองไปทางนั้นตลอดเลย หรือว่ามองใคร” เป้งถามพลางยิ้มบางๆ
“เปล่านี่” ฉันปฏิเสธเสียงเรียบ แต่ไม่ยอมสบตาเขา
“หึ หึ” เขาหัวเราะแล้วนั่งลงข้างฉัน จากนั้นก็ถอดกระเป๋าเป้ของเขาออกแต่ไม่พูดอะไร
เป็นสถานการณ์ที่อึดอัดจริงๆ - _ - ;
“เล่นบาสมั้ย” อยู่ๆ เขาก็ถามฉันขึ้นมา หลังจากที่นั่งเงียบมาสักพัก
“ไม่อ่ะ” ฉันตอบไปแบบเซ็งๆ แล้วเขาก็ยื่นกระเป๋าของเขามาให้ ฉันก็รับไปแบบงงๆ
พลางส่งสายตาเชิงถามให้เขา
“ฝากถือไว้หน่อย - _ - ^” เขาทำหน้าเซ็งใส่ฉัน
“ทำไมต้องฝากด้วยอ่ะ วางไว้เฉยๆ ก็ไม่หายหรอก” ฉันโวยกลับบ้าง แต่เขาก็แค่หันมา
ยิ้มให้ฉัน แล้วเดินลงไปสนามบาสหน้าตาเฉย ไอ้บ้านี่!! ฉันคิดอย่างหงุดหงิดแต่ฉันก็ยัง
ถือกระเป๋าของเขาไว้ในมือ มองกระเป๋าแล้วฉันก็ยิ้มออกมา เฮ้ย!! ยิ้มบ้าอะไรวะ บ้าจริง
แค่เขาใช้ฉันถือกระเป๋าให้แค่นี้ถึงกับยิ้ม แล้วถ้าเขาใช้ฉันไปขัดขี้ไคลให้เขานี่ฉันจะไม่กรี๊ดสลบ
ไปเลยเหรอเนี่ย บ้าเอ้ย!! ฉันด่าตัวเองเสร็จ เลยปากระเป๋าบ้านั่นลงที่โต๊ะอย่างหงุดหงิด

“นั่งทำไรคนเดียว ไม่ไปเล่นบาสกับเขาล่ะ อาบุ้ง” เสียงของด้าดังขึ้นทำให้ฉันสะดุ้งตกใจ
มันมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ
“นั่งไปเพลินๆ น่ะ” ฉันตอบไปสั้นๆ อย่างไม่ได้ใส่ใจกับสายตาแปลกๆ ของด้าที่ส่งมาให้ฉัน
“ทำไมดูหงุดหงิดจังฮะ อาบุ้ง” ด้าถาม เฮ้อ อีตานี่ก็อะไรไม่รู้เรียก อาบุ้งๆ อยู่นั่นแหละ
ฉันเคยถามเขาว่าทำไมเรียกฉันอาบุ้ง เขาบอกว่าฉันหน้าเหมือนคนที่แสดงเป็นอาบุ้ง ในละครเฮงๆ
อะไรนี่แหละ ฉันไม่เคยดู ตอนแรกฉันก็แอบดีใจนะที่มีคนว่าฉันหน้าคล้ายดารา แต่พอเปิดไปดู
ละครที่ว่าก็ผิดหวังนิดหน่อย ดูไปยัยนั่นก็หน้าตางั้นๆ ล่ะ เฮ่อ!!
“เปล่านี่ หงุดหงิดตรงไหน -*-” ฉันตอบ
“ปกติอาบุ้งไม่ค่อยมานั่งนิ่งๆ ทำหน้าบอกบุญไม่รับอย่างนี้นี่นา”
“ก็หน้าเราเป็นอย่างนี้แต่ไหนล่ะ ไม่ต้องเดาหรอก”
“...” ไอ้ด้า (ขอเรียกไอ้ละกัน ก็อยากมายุ่งจุ้นจ้านกับฉันทำไมล่ะ) มองตาฉันเหมือนจะค้นหา
อะไรซักอย่าง ฉันเองก็ไหวตัวทันรีบปรับสีหน้าและสายตาให้เรียบเฉย
“เฮ่อ” เสียงไอ้ด้าถอนหายใจ
“...”
“แนนว่าผู้หญิงน่ารำคาญทุกคนมั้ย” ด้าถามฉันเสียงเรียบ แถมไม่เรียกฉันว่าอาบุ้งด้วย
แสดงว่ากำลังเข้าสู่โหมดจริงจังสินะ
“แล้วด้ารำคาญเรามั้ยล่ะ” ฉันถามกลับ
“เปล่า”
“งั้นก็แสดงว่า ผู้หญิงไม่ได้น่ารำคาญไปซะทุกคนหรอก”
“แต่เห็นผู้หญิงของไอ้เป้งแล้วรำคาญแทนมัน” ด้าตอบกลับ ...หืม ผู้หญิงของเป้งอย่างงั้นเหรอ
“น่ารำคาญตรงไหน ก็เห็นเขาคุยกันดีออก” ฉันเห็นด้วยกับด้าว่าผู้หญิงของเป้งนั่นทำให้ฉัน
รำคาญสายตาเอามากอยู่เหมือนกัน แต่ฉันแสร้งถามด้าไปอย่างนั้น ทั้งที่จริงฉันอยากรู้เรื่อง
ความรักของเขาจะตายอยู่แล้ว
“แนนรู้มั้ยว่าไอ้เป้งมันโดนยัยนั่นตื้อ”
“งั้นเหรอ ไม่เห็นเคยรู้ ” ฉันตอบเสียงนิ่งแต่ในใจกลับเต้นรัวเพราะได้รู้เรื่องของเขา
“มันแค่หวั่นไหวไปกับยัยนั่นเพราะมันไม่มีใครต่างหากล่ะ” ด้าบอก
“...” ฉันยังเงียบ พลางครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ของความรักของฉัน
“ช่วงนี้ไม่เห็นอาบุ้งมีแฟน” ด้าถามแล้วมองฉันยิ้มๆ
“เออ แล้วมันผิดปกติมากเลยเหรอ ที่เราจะไม่มีแฟนน่ะ” ฉันตอบอย่างหงุดหงิด
“ได้ยินว่าเพื่อนป๊อบปี้มาชอบนี่นา ไม่สนใจเหรอ”
“ไม่-สน-ใจ” ฉันเน้นแต่ละคำหวังให้มันซึมลึกเข้าไปในหัวของคนถาม
“ไม่สนจริงอ่ะ ได้ยินว่าตื้อมานานแล้ว ไม่ใช่เหรอ”
“แล้วไง เรื่องของมันสิ!!” เส้นอารมณ์ของฉันชักใกล้จะขาดเต็มที
ไอ้ด้าคงรู้ว่าฉันกำลังหงุดหงิดอย่างเต็มกำลังแล้ว จึงทิ้งประโยคนี้ไว้ให้ฉัน
“คงรอใครสักคนอยู่สินะ อาบุ้ง” ประโยคที่ฟังดูธรรมดา แต่สายตาของมันที่แสดง
ออกมานั้นส่อแววนัยๆ ว่า รู้ทันนะ เอื๊อกส์ ไอ้ด้าแสร้งถอนหายใจแล้ววางเป้ลง
จากนั้นเขาก็ไปเล่นบาสกับคนที่เพิ่งโดนเพื่อนเอามาเผาไปหมาดๆ แล้วฉันก็ต้องนั่ง
อยู่คนเดียวอยู่กับหัวใจที่แสนจะว้าวุ่นของฉัน ฮือออ TT_TT

แล้วผู้ชายที่ชื่ออู๋คนนั้นก็ช่างตื้อจริงๆ ไม่ว่าฉันจะไปไหน ทำอะไรอยู่ที่ไหน
เหมือนว่าเค้าจะรู้ไปซะหมด ให้ฉันเดานะ ยัยบุ๋มนั่นแหละที่เป็นสปายให้เขา แล้วยังหา
ทางทุกวิถีทางให้เขามาเจอฉันอยู่บ่อยๆ อย่างวันนี้อีกเช่นกัน ฉันชวนบุ๋มกับอ๊อฟไปนั่งที่
ร้านนม แต่ฉันกับอ๊อฟมาถึงที่ร้านก่อนแล้ว ส่วนบุ๋มก็เป็นไปอย่างที่คาด เธอหนีบเอา
สองหนุ่มแฟนแล้วก็เพื่อนแฟนตัวเองมาด้วย แถมยังจัดแจงให้เขามานั่งข้างๆ ฉันอีกด้วย
ฉันจากที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว เลยกลายเป็นไม่พูดอะไรเลย ส่วนไอ้คนที่เสนอหน้ามานั่งข้างฉัน
พอเห็นฉันนั่งเงียบก็เลยถือโอกาสชวนฉันคุย
“แนนมาร้านนี้บ่อยเหรอ เรามาบ่อยแต่ไม่เคยเห็นแนนเลย” อู๋ถาม
“ปกติเราไปแต่ร้านเหล้า ร้านนมบรรยากาศน่าเบื่อ” ว่าแล้วฉันก็เอาส้อมจิ้มฉึกเข้าที่ขนมปัง
แล้วยัดใส่ปากของตัวเองอย่างรุนแรง เป็นการแสดงออกว่า ฉันนอยด์เต็มที่
“ถ้าแนนชอบไปร้านเหล้า งั้นวันหลังเราไปด้วยกันมั้ย” อู๋ถามพร้อมรอยยิ้ม
“เห็นบุ๋มบอกว่าไม่กินเหล้าไม่ใช่เหรอ แล้วจะไปทำไม” ฉันตอบกลับ
“...” อู๋ฟังฉันแล้วเงียบไปทันที
ยัยบุ๋มกับป๊อบปี้คงเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศมาคุระหว่างอู๋กับฉัน จึงชวนคุยเรื่องอื่นไป
แต่ก็ไม่วายเรื่องนายอู๋เพื่อนรักของพวกมัน
“แปลกนะเนี่ยที่วันนี้แนนชวนมาร้านนม” ป๊อบปี้ถามฉัน
“ก็เซ็งๆ” ฉันตอบสั้นๆ
“เซ็งอะไรเหรอ คนไร้แฟน รึว่าเหงา บอกให้มีแฟน ก็ไม่ยอมมี” ป๊อบปี้พูดต่อ
“ก็ยังไม่อยากมีใคร”
“งั้นดูๆ ไปก่อนก็ได้นี่ ถ้าใช่ก็ค่อยคบ ใครบางคนแถวๆ นี้รอได้นะ”
“ไม่อยากให้ความหวังใคร ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ใช่ ก็ปล่อยให้เขาไปหา
คนใหม่ที่รักเขาไม่ดีกว่าเหรอ” ฉันว่าเสร็จก็ขยับตัวจะลุกขึ้น แต่โดนมือของคนที่ฉัน
เพิ่งปฏิเสธไปกลายๆ เมื่อครู่ดึงให้ฉันนั่งลงอีกครั้ง เพื่อนๆ ของฉันทุกคนต่างทำหน้าตกใจ
ฉันเองก็ตกใจไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้ เพราะปกติแค่มองหน้าฉันตรงๆ เขาก็ยังไม่กล้า
ฉันมองหน้าเขานิ่งๆ แต่ก็ยอมนั่งต่อ คุยให้จบๆ กันไปเลยก็ดี
“มีอะไรเหรอ” ฉันถามอู๋เสียงห้วนๆ
“ยังไม่ดูเลย แล้วแนนมั่นใจได้ยังไงว่าเราไม่ใช่” อู๋พูดเสียงนิ่ง แล้วมองหน้าฉัน
แต่สีหน้าของเขาฉันมองออกว่าเขากำลังเจ็บปวด นั่นมันทำให้ฉันรู้สึกผิด
“เรามั่นใจว่าอู๋ไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับเรา” ฉันมองหน้าเขาและพูดอย่างจริงใจ
“ต้องเป็นแบบไหนถึงจะเรียกว่าใช่” เขาพูดต่อ เสียงเขาสั่นและเหมือนว่ากำลังจะร้องไห้
“บอกไม่ได้ แต่เรารู้แค่ว่าเราชอบอู๋ไม่ได้” ฉันเริ่มลำบากใจในการตอบ
“ขอเหตุผลหน่อยได้มั้ย เราชอบแนนมานานมากๆ แต่แนนตัดสินเราแค่ในช่วงไม่กี่เดือน
นี่เหรอ” แล้วน้ำตาเขาก็ไหลออกมา ป๊อบปี้จึงรีบลุกมาปลอบเพื่อนตัวเอง แล้วส่งสายตาเชิง
ตำหนิมาให้ฉันส่วนบุ๋มกับอ๊อฟนั้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเต็มที
“เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินใครทั้งนั้น มันอยู่แค่ว่าใช่กับไม่ใช่ ความรู้สึกมันบอกอย่างนั้น และเรา
ชอบใครไม่ได้อีกแล้ว อย่าหวังอะไรจากเราอีกเลย” ฉันพูดเสียงดังด้วยความคับข้องใจทั้งหมด
“ทำไมแนนถึงบอกว่าชอบใครไม่ได้อีกแล้ว แนนมีแฟนใหม่แล้วเหรอ ทำไมบุ๋มไม่รู้” บุ๋มซัก
“มีแล้ว แต่เค้าอยู่ในใจ บอกใครไม่ได้” ฉันตอบได้แค่นั้น เพราะฉันกลัวว่าหากฉันพูดออกไป
แล้วฉันจะสูญเสียเขาไป
“เพื่อนกัน ทำไมบอกกันไม่ได้” อ๊อฟพูดเสียงแข็ง
“บอกไม่ได้ก็คือบอกไม่ได้” ฉันพูดเสร็จแล้ววางเงินไว้ที่โต๊ะแล้วเดินออกจากร้าน
แล้วก็ได้ยินเสียงอู๋ตะโกนตามหลังฉันมา
“ชอบเขาข้างเดียวใช่มั้ยล่ะ แล้วรู้สึกยังไงล่ะ มันเจ็บปวดใช่มั้ย แนนเข้าใจเรารึยัง!!”

จากนั้นฉันก็มุ่งหน้ากลับบ้านด้วยความรู้สึกที่แย่สุดๆ นี่ฉันทำร้ายจิตใจของใครหนึ่งคน
แล้วกำลังจะทำร้ายจิตใจของใครอีกหลายๆ คน ฉันมั่นใจว่าถ้าฉันบอกเรื่องนี้กับบุ๋ม บุ๋มคงไม่ขัดข้อง
แต่ถ้าบอกกับอ๊อฟ ยัยนี่คงโกรธฉัน และไม่เข้าใจฉันแน่ๆ ฉันคิดอยู่เสมอว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม
มันควรอยู่อย่างเปิดเผย และไม่ควรหลบซ่อน ฉันจึงไม่เคยลังเลที่จะบอกรักใครก่อน แต่คราวนี้มัน
ไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่หัวใจของฉันมันอึดอัดจวนจะระเบิดอยู่แล้ว นี่คงเป็นครั้งแรกของฉันที่เหตุผล
มันอยู่เหนือความรู้สึก ฉันจะมีโอกาสได้พูดคำนี้กับเขามั้ยนะ ‘แนนรักเป้ง’
พอฉันกลับถึงบ้าน ฉันไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกแย่ๆ พวกนี้ยังไง ฉันได้แต่นั่งคุยกับไ
อ้จัมโบ้(หมาน่ะ) ถึงมันจะไม่เข้าใจที่ฉันพูด แต่เหมือนมันจะตั้งใจฟังคำพูดของฉัน
“เป็นหมานี่มันต้องมีอะไรให้ลำบากใจในมั้ย จัมโบ้”
“หงิงๆ แหะๆ ^ ^”
“ถ้าเป็นหมาแล้วไม่ต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ อย่างนี้ ชาติหน้าไปเกิดเป็นหมากับจัมโบ้ดีกว่าเนอะ”
ฉันพูดพร้อมกับลูบหัวมันเบาๆ
“หงิงๆ”
“เอ็งเคยอยากบอกรักใครสักคนนึงจนใจจะขาดแต่บอกไม่ได้มั้ยวะ ทำไมมันถึงทรมานอย่างนี้นะ”
“...”
“เฮ่อ เป็นหมานี่ดีเว้ยยย เนอะโบ้” ฉันได้ระบายออกมาบ้างแล้วก็รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย
จากนั้นก็ไปอาบน้ำ เตรียมตัวนอน แล้วคืนนี้ฉันจะนอนหลับมั้ยเนี่ย -_- ;

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 3

ฉันนั่งเล่นกีต้าร์อยู่หน้าบ้าน ตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็น ร้องเพลงไปคนเดียวตามประสาสาวเปลี่ยวอย่างฉัน
แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ตอนนี้ฉันกำลังมีอารมณ์ศิลปินเต็มที่ แหกปากร้องเพลงและเล่นกีต้าร์
เพี้ยนๆ โดยไม่สนใจที่จะลุกไปรับโทรศัพท์แต่อย่างใด แต่พอเสียงโทรศัพท์ตื้อนานๆ เข้าฉันก็จำใจ
ต้องวางกีต้าร์ตัวโปรดลงด้วยอารมณ์หงุดหงิด พลางก่นด่าโคตรของคนโทรมาอยู่
“เออ ว่าไง” ไม่รู้ล่ะว่าใคร แต่ฉันแสดงออกเต็มที่ล่ะว่ากำลังหงุดหงิดสุดๆ
“(ทำไมรีบกลับจัง ยังคุยไม่รู้เรื่องเลยนะ อู๋มันหน้าเสียเลยนะแนน)” เสียงยัยบุ๋มนั่นเอง
...คงกลัวว่าฉันจะหาแฟนไม่ได้จริงๆ สินะ มันถึงทำกับฉันอย่างนี้
“เรื่องของมัน” ฉันตอบกลับเสียงห้วน
“(เอ่อ แนนรู้มั้ยว่ามันแอบชอบแนนมานานมากแล้วนะ)”
“เหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นรู้”
“(งั้นเขาจะเรียกว่าแอบเหรอ ถ้าแนนรู้น่ะ)”
“...” ฉันเงียบแต่ในใจก็คิดว่า เออ จริงของมัน
“(สงสารมันหน่อย วางแผนเจอแนนครั้งแรกก็พังไม่เป็นท่า มันอุตส่าห์ขอร้องบุ๋มกับป๊อบปี้
ให้พาแนนมาให้ได้)” บุ๋มพยายามกล่อมฉัน
“อ๋อ ที่แท้ก็ตั้งใจจะหลอกกันใช่มั้ย!” ฉันเริ่มโมโหแล้วนะ
“(โธ่แนน บุ๋มขอโทษนะ บุ๋มแค่หวังดี กลัวแนนเหงา)”
“ไม่มีแฟนน่ะ มันไม่ถึงกับทำให้ตายหรอกนะ” ฉันตอบกลับอย่างมีอารมณ์
“(บุ๋มขอโทษนะแนน)”
“เออๆ จะลองเอาไปคิดดู แค่นี้นะ” ฉันตัดบทในทันที
“(บุ๋มให้เบอร์แนนกับเขาไปแล้วนะ)”
“หา!! ไอ้..” ยังไม่ทันได้ด่า มันวางสายไปเสียก่อน เฮ่อ เพื่อนหนอเพื่อน อยากจะบอกมัน
ว่าฉันจะรักคนอื่นได้ยังไงกัน ในเมื่อเขาคนนั้นครอบครองหัวใจของฉันไปทั้งดวงแล้ว แต่เรื่อง
ระหว่างฉันกับเขามันคงเป็นไปไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ควรอย่างเป็นที่สุด ไม่ใช่แค่
เหตุผลที่ว่าเราเป็นเพื่อนสนิทกันหรอกนะ แต่เขาเป็นเพื่อนสนิทของแฟนเก่าของฉันอีกด้วย!!
มันจึงเหมือนสิ่งที่ตามหลอกหลอนฉันอยู่ตลอดเวลาเมื่อฉันเห็นเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน
ถ้าฉันบอกรักเป้งไป แล้วใครๆ จะมองว่าฉันเป็นผู้หญิงประเภทไหน ที่ไปแอบรักได้แม้
กระทั่งเพื่อนของแฟนเก่า
หลังจากที่คุยกับบุ๋มเย็นวันนั้น นายอู๋ก็โทรมาหาฉันทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง
ฉันก็คุยกับเขาบ้าง เขาพยายามชวนให้ฉันออกไปข้างนอกกับเขาตั้งแต่วันแรกๆ ที่ได้คุยกัน
แต่ฉันปฏิเสธทุกครั้ง เขาจึงขอมาหาฉันที่บ้าน ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ดันมาเจอแจ๊คพ็อต
เพราะเขามาเจอพี่ชายที่มาเยี่ยมฉันโดยบังเอิญ แล้วก็ถูกพี่ชายฉันถามว่า
“บ้านตัวเองไม่มีให้อยู่หรือไง” แค่นั้นล่ะ เขาก็เผ่นกลับบ้านแทบไม่ทัน คงเกรงกลัวอิทธิพล
และกำปั้นของพี่ชายฉันน่ะสิ พี่ของฉันเป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าหวงน้อง สาวสุดๆ อ้อ นี่ก็เป็นอีก
สาเหตุหนึ่งที่ฉันคบกับใครได้ไม่นาน เพราะพี่ชายฉันเล่นไปอาละวาดให้ฉันขายหน้ามาแล้ว
หลายต่อหลายครั้ง บางคนที่พี่ชายฉันไม่ชอบขี้หน้ามากๆ แล้วไม่ยอมเลิกกับฉันดีๆ ก็ถึงกับ
ใช้กำลังกันเลยทีเดียว โธ่ ผู้ชายที่น่าสงสารของฉัน แต่หลังจากที่พี่ชายของฉันแต่งงานก็ได้ลด
ดีกรีความดุลงบ้างแล้ว และเริ่มปล่อยให้ฉันได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง
แม้ว่าอู๋เขาจะกลัวพี่ชายฉันมากขนาดไหนก็ยังพยายามโทรมา แล้วกระซิบถามฉันว่า
พี่เธออยู่มั้ย ไอ้หงอยเอ้ย!! คุยโทรศัพท์แท้ๆ จะกลัวใครได้ยิน เพียงแค่นี้แหละฉันก็ตัดสินใจ
ไม่คบกับเขาเป็นแฟน แม้เขาเองจะยังตามตื้อและยังจะหวังอยู่ก็ตาม


วี้ หว่อ!! “คุณจุฑาทิพย์ เมื่อจอดรถของคุณเสร็จแล้วเข้ามาหาผมที่ห้องหน่อย”
เสียงหวอกับเสียงที่ดังผ่านทรโข่งนั้นฟังดูคุ้นๆ ชอบกล อึ๋ย!! อาจารย์ฝ่ายปกครองจอมโหด
เรียกฉันไปพบทำไมกันเนี่ย ...ไม่นะ! ไอ้ตอนเมื่อวานที่แอบโดดกำแพงเข้าโรงเรียน
ฉันก็มองดีแล้วว่าไม่มีอาจารย์อยู่แถวนั้น เอ๊ะหรือว่าตอนที่ฉันโดดเรียนแล้วแอบไปนอนที่
โรงอาหารก็ไม่มีอาจารย์นี่นา ในใจของฉันก็เริ่มคิดไปสารพัดว่าฉันไปทำความผิดให้แกเห็น
เมื่อไหร่ เมื่อเตรียมใจได้แล้ว ฉันก็รีบกุลีกุจอจอดรถแล้วเดินมาที่ห้องฝ่ายปกครอง ฮืออ
ทำไมแกชอบทำให้ฉันขายขี้หน้าจังนะ ไม่เห็นต้องใช้ทรโข่งเลย อยู่ห่างกันแค่ 3 เมตรเอง
คนอื่นๆ ที่อยู่ในลานจอดรถเลยได้ยินกันหมด ขายหน้าชะมัด เอาวะ ใช่ว่านี่จะเป็นครั้งแรก
ที่เราขึ้นฝ่ายปกครองซะหน่อย ไอ้แนนซะอย่างขึ้นฝ่ายปกครองเป็นสิบๆ ครั้ง ก็รอดมาได้
ทุกครั้ง สู้ๆ ฉันให้กำลังใจตัวเองเสร็จสรรพ ก็มาถึงประตูห้องปกครอง
ก๊อกๆ “สวัสดีค่ะอาจารย์ มีอะไรเหรอคะ” ฉันถามอาจารย์เสียงใส พร้อมปั้นหน้าทำตา
ใสซื่อบริสุทธิ์สุดๆ ให้อารจารย์ที่ยังคงก้มหน้าทำงานอยู่โดยไม่มองฉันสักนิด
“เมื่อวานมาโรงเรียนกี่โมง คุณจุฑาทิพย์” อาจารย์เข้าเรื่องทันที ว่าแล้วเชียวต้องเป็นเรื่องนี้
“เอ่อ ประมาณเก้าโมงครึ่งมั้งคะ” เมื่อฉันรู้สภาพแล้วก็ต้องยอมรับความจริงไปในที่สุด
“ทำไมมาสาย แล้วเข้ามาโรงเรียนยังไง”
“ก็คาบแรกหนูไม่มีเรียนค่ะ แล้วก็ปีนรั้วเข้ามาค่ะ เพราะไม่อยากถูกจดชื่อน่ะค่ะ” ฉันยอมรับ
ไปแต่โดยดี เหมือนว่ามันไม่ใช่ความผิดยังไงยังงั้น แต่ดูตาของอาจารย์สิ เขียวปั๊ดเลย ฮือออ
“โดนจดชื่อไปกี่ครั้งแล้ว”
“เอ่อ...หนูไม่เคยนับอ่ะค่ะ -_-”
“จะบอกให้ว่าเธอโดนจดแล้ว 7 ครั้ง ในเทอมนี้”
“หา...7 ครั้งเลยเหรอคะ!! ” ฉันอุทานเสียงดัง อาจารย์จึงเหลือบมองฉันหน่อยๆ แล้วพูด
“ครูมีกล้องส่องทางไกลนะ แล้วไอ้เสื้อพละสกรีนเบอร์ 16 น่ะ ก็มีแค่เธอคนเดียวในโรงเรียน
แล้วไอ้เสื้อพละที่สกรีนเบอร์น่ะ ก็มีแค่กลุ่มพวกเธอกลุ่มเดียวเหมือนกัน” อาจารย์ว่าแล้วก็
ถอดแว่นออก และหยุดทำงานแล้วเปลี่ยนมามองหน้าฉันตรงๆ แทน
“ =_= ;” เอ่อ คือว่าอึ้งค่ะ พูดไม่ออกเลยทีเดียว เดียวนี้ฝ่ายปกครองถึงกับมีกล้องส่อง
ทางไกลแล้วเหรอฟะเนี่ย โอ้ว แม่เจ้ายอดจริงๆ
“เฮ่อ ครูเหนื่อยใจกับเธอจริงๆ แนน ครูรับปากกับพ่อเธอว่าจะดูแลเธอให้ดีๆ รู้ใช่มั้ยว่าพ่อเธอ
กับครูเป็นเพื่อนกัน” ฉันพยักหน้ารับ นี่ถึงขั้นเอ่ยชื่อเล่นฉันแสดงว่าอาจารย์แกจริงจังมากๆ
“จะจบอยู่แล้วทำตัวให้มันดีๆ หน่อย ครูไม่อยากจะได้ยินเรื่องของเธอจากอาจารย์ประจำ
วิชาต่างๆ ว่าเธอโดดเรียนเป็นว่าเล่นขนาดไหน อาจารย์หลายคนก็คาดหวังจะให้เธอตั้งใจ
เรียนกว่านี้ เพราะพวกท่านว่าเธอเป็นเด็กฉลาด หัวดี ดูมีอนาคต พวกท่านเลยอยากจะช่วย”
แกว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกรอบ เอ่อ รู้สึกแย่จัง แต่ไม่รู้สึกผิดเท่าไหร่ ฮิฮิ
“แล้วไปเยี่ยมพ่อบ้างรึเปล่า” ในที่สุดอาจารย์แกก็เปลี่ยนเรื่องคุย
“ช่วงนี้ไม่ได้ไปค่ะ ไปแต่ช่วงปิดเทอม” ฉันตอบเบาๆ
“ถ้าจะไปมาขออนุญาตครูนะ ครูจะให้ไป แต่..ห้ามโดดเรียนไปนะ”
“ค่ะ ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ”
“หวังว่าต่อจากนี้ครูจะไม่ได้ยินเรื่องการโดดเรียนของเธออีกแล้วนะ ไปเข้าแถวได้แล้ว”
อาจารย์บอก ฉันจึงยกมือไหว้แล้วออกไปเข้าแถว

หลังออกจากห้องปกครองฉันก็เริ่มใช้ความคิดอย่างหนักจนมาถึงแถว
“เฮ้ยๆ ไอ้แนน กูเห็นมึงเข้าฝ่ายปกครอง โดนข้อหาไรวะ” ไอ้แอมถามฉันอย่างเป็นห่วง
“กูก็เห็นมึงนั่งหน้าจ๋อยเจี๋ยมเจี้ยมเชียว โดนเรื่องไรวะ ฮ่าๆๆ” ไอ้อ้วนถามพลางหัวเราะ
“เรื่องที่ไอ้แนนเข้าฝ่ายปกครองนี่ พวกมึงยังไม่ชินกันเหรอวะ เทอมนี้มันเข้าฝ่ายปกครอง
สามครั้งแล้วนะ” ไอ้อ๊อฟพูดขึ้นบ้าง
“แล้วครั้งนี้โดนข้อหาอะไรวะ” ไอ้อ้วนถามฉันซ้ำ
“...” ฉันไม่ตอบอะไรเพราะกำลังใช้ความคิดเพื่อนๆ เห็นฉันเงียบ ก็กังวลรุมถามใหญ่
“เป็นไรมากมั้ยวะ เฮ้ย มึงเล่าดิ กูใจคอไม่ดีเลย” ไอ้อ้วนซักฉันต่อ
“กูกำลังใช้ความคิด” ฉันตอบไปพลางเหม่อๆ
“คิดเรื่องอะไรมึง เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ เฮ้ยๆ มึงอย่าทำงี้ดิ
มีเพื่อนก็เล่าให้กันฟังมั่ง” ไอ้อ้วนว่าต่อ เพื่อนๆ คนอื่นก็ต่อว่าฉันในทำนองเดียวกัน
“เครียดว่ะ” ฉันตอบไปแค่นั้น
“มึงจะพูดไม่พูด มึงเครียดอะไร หรือว่ามึงโดนไล่ออกเหรอวะ!!!” ไอ้อ้วนตวาดใส่ฉัน
“เปล่า กูไม่ได้โดนไล่ออก แต่กูกำลังคิดว่าจะโดดเรียน แล้วก็ปีนกำแพงยังไงไม่ให้อาจารย์รู้”
ฉันตอบไปตามสัตย์จริง หารู้ไม่ว่านั่นมันเป็นสาเหตุให้ฉันถูกทำร้าย!!
“โห่ นึกว่าเรื่องอะไร” พวกมันพากันโห่แล้วหลังจากนั้นฉันก็โดนเพื่อนรุมตบหัวฉัน
โดยไม่มีใครสนใจสายตาอาฆาตของฉันเลยสักคน
“เฮ้ยๆ พวกมึงทำอะไรกันน่ะ” พอฉันได้ยินเสียงเป้งดังขึ้น แล้วหัวใจฉันก็เต้นแรงขึ้นทันที
เขามาช่วยฉันใช่ไหม ได้โปรดเอาฉันออกไปจากการโดนรุมสกรัมนี้สักที T_T
“เฮ้ย อย่างยัยเนี่ยมันต้องเอาให้หนักๆ เพราะนานๆ จะมีโอกาสได้ตบหัวมันทีนึง ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
แล้วเสียงหัวเราะที่ดังกว่าใครนั่นแหละ ที่ตบฉันแรงสุด ฮืออ ไอ้เลว จากนั้นฉันก็โดนไปอีก
หลายที แล้วฉันก็ต้องพึ่งพาตัวเอง ทั้งดิ้น ทั้งสะบัด กว่าจะรอดจากชะตากรรมอันโหดร้ายนี้มาได้
แง่ง ไม่ถึงทีฉันให้มันรู้ไป ฉันจึงก็ส่งสายตาอาฆาตให้ทุกคนที่มันตบหัวฉัน โดยเฉพาะไอ้คนที่
มาหลังสุดแล้วมาตบหัวแรงสุดนี่สิ มันน่านัก แล้วยังมีหน้ามาทำหน้าทะเล้นใส่ฉันอีก ฮึ่ย ฉันอยาก
จะกรี๊ดดังๆ แต่มาดสุขุมของฉันจะให้มันพังยับเพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้ อ้ากกส์(กรี๊ดในใจไปก่อน)
“แนนมึงอย่ามองกูด้วยสายตาอย่างนั้นดิวะเป้งมันนำกูก่อน” ไอ้อ้วนพูดหลังจากที่สบตากับฉัน
“แล้วหมาตัวไหนมันตบกูก่อนเพื่อน หา!!” ฉันตวาดใส่มัน พร้อมชูกำปั้นที่พร้อมใช้งานในทันที
“ไอ้โก้นู่น ดูมันตบมึงแล้วทำเป็นรีบไปเข้าแถว ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อีก” ดูมันใส่ร้ายไอ้โก้ทันที
ทั้งๆ ที่ก็มันนั่นแหละเป็นคนแรกเลย
“เฮ้ยๆ เชี่ยอ้วน อย่ามาใส่ความกูนะ แนนจ๋า เราเปล่านะ เราแค่ตบเบาๆ ไปไม่กี่ครั้งเอง
ไอ้เป้งนู่น มันตบแรงสุดเลย” ไอ้โก้ว่าแล้วฉันก็หันไปคาดโทษคนที่ตบฉันแรงสุดไว้ก่อน
แต่ไอ้บ้านั่นก็ลอยหน้าลอยตาเหมือนอยากลองดีกับฉัน
“ไม่กี่ครั้งแล้วมันกี่ครั้งล่ะ” ฉันถามไอ้โก้พร้อมทำเสียงเหี้ยมๆ
“เอ่อ ไม่ได้นับน่ะ แหะๆ” ไอ้โก้ยิ้มแหยๆ ให้ฉัน
“เอาน่า ถือว่าทำบุญให้เพื่อนเพราะพวกเรายังไม่เคยได้ตบหัวแนนเลย ^ ^”
เป้งพูด พยายามเกลี้ยกล่อมสติของฉันให้เย็นลง แต่นัยน์ตาของเขานั้นกลับมีประกาย
ระริกออกมา ฉันก็พยายามทำใจให้เย็นแล้ว ถ้าเป้งไม่พูดคำนี้ออกมาซะก่อน
“แต่สะใจชะมัด ฮ่าๆๆๆ”
“ย้ากส์ พวกมึงตายซะเถอะ” จากนั้นฉันก็ไล่อัด ไล่เตะไอ้พวกเพื่อนบ้าอยู่ได้ไม่นาน
ก็ต้องมาหอบแฮ่กๆ เพราะความโมโหจึงทำให้ฉันเหนื่อยได้ง่ายๆ
“เป็นไงล่ะ อวดเก่งจริงๆ” เสียงเยาะเย้ยมาจากเจ้าคนต้นเรื่อง
“อย่าให้ถึงทีก็แล้วกัน ได้ตายกันหมดแน่” ฉันหมดสภาพจะไปรบกับใครไหว
จึงได้แต่ส่งเสียงขู่ไปอย่างนั้น
“อุ๊ยๆ กลัวเว้ยกลัว” เขายังพูดจากวนประสาทฉันต่อไปอีก
“แน่จริงตัวต่อตัวเลยมั้ยล่ะ ดีแต่รุม” ฉันถามเอาเรื่องอย่างจริงจัง
“อู้วว์ ไวไฟจริงๆ ไม่ทันไรเลย จะชวนเราไปอยู่ด้วยกันตัวต่อตัวซะแล้ว” เป้งพูดพร้อม
สายตาวิบวับล้อเลียน
“ไอ้บ้า ใครจะไปอยาก...เอ่อ...อยากไอ้นั่นกับแกกันล่ะ” ในที่สุดฉันก็หมดความ
อดทน ฉันจึงรีบเดินไปเข้าแถวที่ห้อง 7 ทันที ไอ้บ้านั่นกล้าดียังไงถึงมาพูดอย่างนี้กับฉัน
ฮืออ ฉันอายนะเนี่ย เสียงหัวเราะของเขากับเพื่อนๆ ยังดังออกมาไม่ขาดปาก กรี๊ดๆๆ
ไอ้ตี๋หมาบ้า ไม่รู้จะด่ายังไงให้มันสาสม TT_TT