วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 3

ฉันนั่งเล่นกีต้าร์อยู่หน้าบ้าน ตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็น ร้องเพลงไปคนเดียวตามประสาสาวเปลี่ยวอย่างฉัน
แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ตอนนี้ฉันกำลังมีอารมณ์ศิลปินเต็มที่ แหกปากร้องเพลงและเล่นกีต้าร์
เพี้ยนๆ โดยไม่สนใจที่จะลุกไปรับโทรศัพท์แต่อย่างใด แต่พอเสียงโทรศัพท์ตื้อนานๆ เข้าฉันก็จำใจ
ต้องวางกีต้าร์ตัวโปรดลงด้วยอารมณ์หงุดหงิด พลางก่นด่าโคตรของคนโทรมาอยู่
“เออ ว่าไง” ไม่รู้ล่ะว่าใคร แต่ฉันแสดงออกเต็มที่ล่ะว่ากำลังหงุดหงิดสุดๆ
“(ทำไมรีบกลับจัง ยังคุยไม่รู้เรื่องเลยนะ อู๋มันหน้าเสียเลยนะแนน)” เสียงยัยบุ๋มนั่นเอง
...คงกลัวว่าฉันจะหาแฟนไม่ได้จริงๆ สินะ มันถึงทำกับฉันอย่างนี้
“เรื่องของมัน” ฉันตอบกลับเสียงห้วน
“(เอ่อ แนนรู้มั้ยว่ามันแอบชอบแนนมานานมากแล้วนะ)”
“เหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นรู้”
“(งั้นเขาจะเรียกว่าแอบเหรอ ถ้าแนนรู้น่ะ)”
“...” ฉันเงียบแต่ในใจก็คิดว่า เออ จริงของมัน
“(สงสารมันหน่อย วางแผนเจอแนนครั้งแรกก็พังไม่เป็นท่า มันอุตส่าห์ขอร้องบุ๋มกับป๊อบปี้
ให้พาแนนมาให้ได้)” บุ๋มพยายามกล่อมฉัน
“อ๋อ ที่แท้ก็ตั้งใจจะหลอกกันใช่มั้ย!” ฉันเริ่มโมโหแล้วนะ
“(โธ่แนน บุ๋มขอโทษนะ บุ๋มแค่หวังดี กลัวแนนเหงา)”
“ไม่มีแฟนน่ะ มันไม่ถึงกับทำให้ตายหรอกนะ” ฉันตอบกลับอย่างมีอารมณ์
“(บุ๋มขอโทษนะแนน)”
“เออๆ จะลองเอาไปคิดดู แค่นี้นะ” ฉันตัดบทในทันที
“(บุ๋มให้เบอร์แนนกับเขาไปแล้วนะ)”
“หา!! ไอ้..” ยังไม่ทันได้ด่า มันวางสายไปเสียก่อน เฮ่อ เพื่อนหนอเพื่อน อยากจะบอกมัน
ว่าฉันจะรักคนอื่นได้ยังไงกัน ในเมื่อเขาคนนั้นครอบครองหัวใจของฉันไปทั้งดวงแล้ว แต่เรื่อง
ระหว่างฉันกับเขามันคงเป็นไปไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ควรอย่างเป็นที่สุด ไม่ใช่แค่
เหตุผลที่ว่าเราเป็นเพื่อนสนิทกันหรอกนะ แต่เขาเป็นเพื่อนสนิทของแฟนเก่าของฉันอีกด้วย!!
มันจึงเหมือนสิ่งที่ตามหลอกหลอนฉันอยู่ตลอดเวลาเมื่อฉันเห็นเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน
ถ้าฉันบอกรักเป้งไป แล้วใครๆ จะมองว่าฉันเป็นผู้หญิงประเภทไหน ที่ไปแอบรักได้แม้
กระทั่งเพื่อนของแฟนเก่า
หลังจากที่คุยกับบุ๋มเย็นวันนั้น นายอู๋ก็โทรมาหาฉันทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง
ฉันก็คุยกับเขาบ้าง เขาพยายามชวนให้ฉันออกไปข้างนอกกับเขาตั้งแต่วันแรกๆ ที่ได้คุยกัน
แต่ฉันปฏิเสธทุกครั้ง เขาจึงขอมาหาฉันที่บ้าน ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ดันมาเจอแจ๊คพ็อต
เพราะเขามาเจอพี่ชายที่มาเยี่ยมฉันโดยบังเอิญ แล้วก็ถูกพี่ชายฉันถามว่า
“บ้านตัวเองไม่มีให้อยู่หรือไง” แค่นั้นล่ะ เขาก็เผ่นกลับบ้านแทบไม่ทัน คงเกรงกลัวอิทธิพล
และกำปั้นของพี่ชายฉันน่ะสิ พี่ของฉันเป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าหวงน้อง สาวสุดๆ อ้อ นี่ก็เป็นอีก
สาเหตุหนึ่งที่ฉันคบกับใครได้ไม่นาน เพราะพี่ชายฉันเล่นไปอาละวาดให้ฉันขายหน้ามาแล้ว
หลายต่อหลายครั้ง บางคนที่พี่ชายฉันไม่ชอบขี้หน้ามากๆ แล้วไม่ยอมเลิกกับฉันดีๆ ก็ถึงกับ
ใช้กำลังกันเลยทีเดียว โธ่ ผู้ชายที่น่าสงสารของฉัน แต่หลังจากที่พี่ชายของฉันแต่งงานก็ได้ลด
ดีกรีความดุลงบ้างแล้ว และเริ่มปล่อยให้ฉันได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง
แม้ว่าอู๋เขาจะกลัวพี่ชายฉันมากขนาดไหนก็ยังพยายามโทรมา แล้วกระซิบถามฉันว่า
พี่เธออยู่มั้ย ไอ้หงอยเอ้ย!! คุยโทรศัพท์แท้ๆ จะกลัวใครได้ยิน เพียงแค่นี้แหละฉันก็ตัดสินใจ
ไม่คบกับเขาเป็นแฟน แม้เขาเองจะยังตามตื้อและยังจะหวังอยู่ก็ตาม


วี้ หว่อ!! “คุณจุฑาทิพย์ เมื่อจอดรถของคุณเสร็จแล้วเข้ามาหาผมที่ห้องหน่อย”
เสียงหวอกับเสียงที่ดังผ่านทรโข่งนั้นฟังดูคุ้นๆ ชอบกล อึ๋ย!! อาจารย์ฝ่ายปกครองจอมโหด
เรียกฉันไปพบทำไมกันเนี่ย ...ไม่นะ! ไอ้ตอนเมื่อวานที่แอบโดดกำแพงเข้าโรงเรียน
ฉันก็มองดีแล้วว่าไม่มีอาจารย์อยู่แถวนั้น เอ๊ะหรือว่าตอนที่ฉันโดดเรียนแล้วแอบไปนอนที่
โรงอาหารก็ไม่มีอาจารย์นี่นา ในใจของฉันก็เริ่มคิดไปสารพัดว่าฉันไปทำความผิดให้แกเห็น
เมื่อไหร่ เมื่อเตรียมใจได้แล้ว ฉันก็รีบกุลีกุจอจอดรถแล้วเดินมาที่ห้องฝ่ายปกครอง ฮืออ
ทำไมแกชอบทำให้ฉันขายขี้หน้าจังนะ ไม่เห็นต้องใช้ทรโข่งเลย อยู่ห่างกันแค่ 3 เมตรเอง
คนอื่นๆ ที่อยู่ในลานจอดรถเลยได้ยินกันหมด ขายหน้าชะมัด เอาวะ ใช่ว่านี่จะเป็นครั้งแรก
ที่เราขึ้นฝ่ายปกครองซะหน่อย ไอ้แนนซะอย่างขึ้นฝ่ายปกครองเป็นสิบๆ ครั้ง ก็รอดมาได้
ทุกครั้ง สู้ๆ ฉันให้กำลังใจตัวเองเสร็จสรรพ ก็มาถึงประตูห้องปกครอง
ก๊อกๆ “สวัสดีค่ะอาจารย์ มีอะไรเหรอคะ” ฉันถามอาจารย์เสียงใส พร้อมปั้นหน้าทำตา
ใสซื่อบริสุทธิ์สุดๆ ให้อารจารย์ที่ยังคงก้มหน้าทำงานอยู่โดยไม่มองฉันสักนิด
“เมื่อวานมาโรงเรียนกี่โมง คุณจุฑาทิพย์” อาจารย์เข้าเรื่องทันที ว่าแล้วเชียวต้องเป็นเรื่องนี้
“เอ่อ ประมาณเก้าโมงครึ่งมั้งคะ” เมื่อฉันรู้สภาพแล้วก็ต้องยอมรับความจริงไปในที่สุด
“ทำไมมาสาย แล้วเข้ามาโรงเรียนยังไง”
“ก็คาบแรกหนูไม่มีเรียนค่ะ แล้วก็ปีนรั้วเข้ามาค่ะ เพราะไม่อยากถูกจดชื่อน่ะค่ะ” ฉันยอมรับ
ไปแต่โดยดี เหมือนว่ามันไม่ใช่ความผิดยังไงยังงั้น แต่ดูตาของอาจารย์สิ เขียวปั๊ดเลย ฮือออ
“โดนจดชื่อไปกี่ครั้งแล้ว”
“เอ่อ...หนูไม่เคยนับอ่ะค่ะ -_-”
“จะบอกให้ว่าเธอโดนจดแล้ว 7 ครั้ง ในเทอมนี้”
“หา...7 ครั้งเลยเหรอคะ!! ” ฉันอุทานเสียงดัง อาจารย์จึงเหลือบมองฉันหน่อยๆ แล้วพูด
“ครูมีกล้องส่องทางไกลนะ แล้วไอ้เสื้อพละสกรีนเบอร์ 16 น่ะ ก็มีแค่เธอคนเดียวในโรงเรียน
แล้วไอ้เสื้อพละที่สกรีนเบอร์น่ะ ก็มีแค่กลุ่มพวกเธอกลุ่มเดียวเหมือนกัน” อาจารย์ว่าแล้วก็
ถอดแว่นออก และหยุดทำงานแล้วเปลี่ยนมามองหน้าฉันตรงๆ แทน
“ =_= ;” เอ่อ คือว่าอึ้งค่ะ พูดไม่ออกเลยทีเดียว เดียวนี้ฝ่ายปกครองถึงกับมีกล้องส่อง
ทางไกลแล้วเหรอฟะเนี่ย โอ้ว แม่เจ้ายอดจริงๆ
“เฮ่อ ครูเหนื่อยใจกับเธอจริงๆ แนน ครูรับปากกับพ่อเธอว่าจะดูแลเธอให้ดีๆ รู้ใช่มั้ยว่าพ่อเธอ
กับครูเป็นเพื่อนกัน” ฉันพยักหน้ารับ นี่ถึงขั้นเอ่ยชื่อเล่นฉันแสดงว่าอาจารย์แกจริงจังมากๆ
“จะจบอยู่แล้วทำตัวให้มันดีๆ หน่อย ครูไม่อยากจะได้ยินเรื่องของเธอจากอาจารย์ประจำ
วิชาต่างๆ ว่าเธอโดดเรียนเป็นว่าเล่นขนาดไหน อาจารย์หลายคนก็คาดหวังจะให้เธอตั้งใจ
เรียนกว่านี้ เพราะพวกท่านว่าเธอเป็นเด็กฉลาด หัวดี ดูมีอนาคต พวกท่านเลยอยากจะช่วย”
แกว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกรอบ เอ่อ รู้สึกแย่จัง แต่ไม่รู้สึกผิดเท่าไหร่ ฮิฮิ
“แล้วไปเยี่ยมพ่อบ้างรึเปล่า” ในที่สุดอาจารย์แกก็เปลี่ยนเรื่องคุย
“ช่วงนี้ไม่ได้ไปค่ะ ไปแต่ช่วงปิดเทอม” ฉันตอบเบาๆ
“ถ้าจะไปมาขออนุญาตครูนะ ครูจะให้ไป แต่..ห้ามโดดเรียนไปนะ”
“ค่ะ ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ”
“หวังว่าต่อจากนี้ครูจะไม่ได้ยินเรื่องการโดดเรียนของเธออีกแล้วนะ ไปเข้าแถวได้แล้ว”
อาจารย์บอก ฉันจึงยกมือไหว้แล้วออกไปเข้าแถว

หลังออกจากห้องปกครองฉันก็เริ่มใช้ความคิดอย่างหนักจนมาถึงแถว
“เฮ้ยๆ ไอ้แนน กูเห็นมึงเข้าฝ่ายปกครอง โดนข้อหาไรวะ” ไอ้แอมถามฉันอย่างเป็นห่วง
“กูก็เห็นมึงนั่งหน้าจ๋อยเจี๋ยมเจี้ยมเชียว โดนเรื่องไรวะ ฮ่าๆๆ” ไอ้อ้วนถามพลางหัวเราะ
“เรื่องที่ไอ้แนนเข้าฝ่ายปกครองนี่ พวกมึงยังไม่ชินกันเหรอวะ เทอมนี้มันเข้าฝ่ายปกครอง
สามครั้งแล้วนะ” ไอ้อ๊อฟพูดขึ้นบ้าง
“แล้วครั้งนี้โดนข้อหาอะไรวะ” ไอ้อ้วนถามฉันซ้ำ
“...” ฉันไม่ตอบอะไรเพราะกำลังใช้ความคิดเพื่อนๆ เห็นฉันเงียบ ก็กังวลรุมถามใหญ่
“เป็นไรมากมั้ยวะ เฮ้ย มึงเล่าดิ กูใจคอไม่ดีเลย” ไอ้อ้วนซักฉันต่อ
“กูกำลังใช้ความคิด” ฉันตอบไปพลางเหม่อๆ
“คิดเรื่องอะไรมึง เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ เฮ้ยๆ มึงอย่าทำงี้ดิ
มีเพื่อนก็เล่าให้กันฟังมั่ง” ไอ้อ้วนว่าต่อ เพื่อนๆ คนอื่นก็ต่อว่าฉันในทำนองเดียวกัน
“เครียดว่ะ” ฉันตอบไปแค่นั้น
“มึงจะพูดไม่พูด มึงเครียดอะไร หรือว่ามึงโดนไล่ออกเหรอวะ!!!” ไอ้อ้วนตวาดใส่ฉัน
“เปล่า กูไม่ได้โดนไล่ออก แต่กูกำลังคิดว่าจะโดดเรียน แล้วก็ปีนกำแพงยังไงไม่ให้อาจารย์รู้”
ฉันตอบไปตามสัตย์จริง หารู้ไม่ว่านั่นมันเป็นสาเหตุให้ฉันถูกทำร้าย!!
“โห่ นึกว่าเรื่องอะไร” พวกมันพากันโห่แล้วหลังจากนั้นฉันก็โดนเพื่อนรุมตบหัวฉัน
โดยไม่มีใครสนใจสายตาอาฆาตของฉันเลยสักคน
“เฮ้ยๆ พวกมึงทำอะไรกันน่ะ” พอฉันได้ยินเสียงเป้งดังขึ้น แล้วหัวใจฉันก็เต้นแรงขึ้นทันที
เขามาช่วยฉันใช่ไหม ได้โปรดเอาฉันออกไปจากการโดนรุมสกรัมนี้สักที T_T
“เฮ้ย อย่างยัยเนี่ยมันต้องเอาให้หนักๆ เพราะนานๆ จะมีโอกาสได้ตบหัวมันทีนึง ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
แล้วเสียงหัวเราะที่ดังกว่าใครนั่นแหละ ที่ตบฉันแรงสุด ฮืออ ไอ้เลว จากนั้นฉันก็โดนไปอีก
หลายที แล้วฉันก็ต้องพึ่งพาตัวเอง ทั้งดิ้น ทั้งสะบัด กว่าจะรอดจากชะตากรรมอันโหดร้ายนี้มาได้
แง่ง ไม่ถึงทีฉันให้มันรู้ไป ฉันจึงก็ส่งสายตาอาฆาตให้ทุกคนที่มันตบหัวฉัน โดยเฉพาะไอ้คนที่
มาหลังสุดแล้วมาตบหัวแรงสุดนี่สิ มันน่านัก แล้วยังมีหน้ามาทำหน้าทะเล้นใส่ฉันอีก ฮึ่ย ฉันอยาก
จะกรี๊ดดังๆ แต่มาดสุขุมของฉันจะให้มันพังยับเพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้ อ้ากกส์(กรี๊ดในใจไปก่อน)
“แนนมึงอย่ามองกูด้วยสายตาอย่างนั้นดิวะเป้งมันนำกูก่อน” ไอ้อ้วนพูดหลังจากที่สบตากับฉัน
“แล้วหมาตัวไหนมันตบกูก่อนเพื่อน หา!!” ฉันตวาดใส่มัน พร้อมชูกำปั้นที่พร้อมใช้งานในทันที
“ไอ้โก้นู่น ดูมันตบมึงแล้วทำเป็นรีบไปเข้าแถว ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อีก” ดูมันใส่ร้ายไอ้โก้ทันที
ทั้งๆ ที่ก็มันนั่นแหละเป็นคนแรกเลย
“เฮ้ยๆ เชี่ยอ้วน อย่ามาใส่ความกูนะ แนนจ๋า เราเปล่านะ เราแค่ตบเบาๆ ไปไม่กี่ครั้งเอง
ไอ้เป้งนู่น มันตบแรงสุดเลย” ไอ้โก้ว่าแล้วฉันก็หันไปคาดโทษคนที่ตบฉันแรงสุดไว้ก่อน
แต่ไอ้บ้านั่นก็ลอยหน้าลอยตาเหมือนอยากลองดีกับฉัน
“ไม่กี่ครั้งแล้วมันกี่ครั้งล่ะ” ฉันถามไอ้โก้พร้อมทำเสียงเหี้ยมๆ
“เอ่อ ไม่ได้นับน่ะ แหะๆ” ไอ้โก้ยิ้มแหยๆ ให้ฉัน
“เอาน่า ถือว่าทำบุญให้เพื่อนเพราะพวกเรายังไม่เคยได้ตบหัวแนนเลย ^ ^”
เป้งพูด พยายามเกลี้ยกล่อมสติของฉันให้เย็นลง แต่นัยน์ตาของเขานั้นกลับมีประกาย
ระริกออกมา ฉันก็พยายามทำใจให้เย็นแล้ว ถ้าเป้งไม่พูดคำนี้ออกมาซะก่อน
“แต่สะใจชะมัด ฮ่าๆๆๆ”
“ย้ากส์ พวกมึงตายซะเถอะ” จากนั้นฉันก็ไล่อัด ไล่เตะไอ้พวกเพื่อนบ้าอยู่ได้ไม่นาน
ก็ต้องมาหอบแฮ่กๆ เพราะความโมโหจึงทำให้ฉันเหนื่อยได้ง่ายๆ
“เป็นไงล่ะ อวดเก่งจริงๆ” เสียงเยาะเย้ยมาจากเจ้าคนต้นเรื่อง
“อย่าให้ถึงทีก็แล้วกัน ได้ตายกันหมดแน่” ฉันหมดสภาพจะไปรบกับใครไหว
จึงได้แต่ส่งเสียงขู่ไปอย่างนั้น
“อุ๊ยๆ กลัวเว้ยกลัว” เขายังพูดจากวนประสาทฉันต่อไปอีก
“แน่จริงตัวต่อตัวเลยมั้ยล่ะ ดีแต่รุม” ฉันถามเอาเรื่องอย่างจริงจัง
“อู้วว์ ไวไฟจริงๆ ไม่ทันไรเลย จะชวนเราไปอยู่ด้วยกันตัวต่อตัวซะแล้ว” เป้งพูดพร้อม
สายตาวิบวับล้อเลียน
“ไอ้บ้า ใครจะไปอยาก...เอ่อ...อยากไอ้นั่นกับแกกันล่ะ” ในที่สุดฉันก็หมดความ
อดทน ฉันจึงรีบเดินไปเข้าแถวที่ห้อง 7 ทันที ไอ้บ้านั่นกล้าดียังไงถึงมาพูดอย่างนี้กับฉัน
ฮืออ ฉันอายนะเนี่ย เสียงหัวเราะของเขากับเพื่อนๆ ยังดังออกมาไม่ขาดปาก กรี๊ดๆๆ
ไอ้ตี๋หมาบ้า ไม่รู้จะด่ายังไงให้มันสาสม TT_TT

ไม่มีความคิดเห็น: