วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สิ่งดีๆ จากหนังสือ

จากการวิจัย พบว่า ประชาชนชาวไทยมีสถิติในการอ่านหนังสือเป็นที่น่าตกใจมากทีเดียว
ค่าเฉลี่ยที่ออกมา คือ คนไทยมีสถิติในการอ่านหนังสืออยู่ที่ 10 บรรทัดต่อคนต่อปี
อยากจะอุทานออกมาดังๆว่า "พระเจ้าช่วยประเทศไทยด้วย ให้พ้นจากวิกฤติการณ์
ครั้งนี้ด้วยเถอด" เฮ่อ ฉันคิดว่า หนังสือทุกเล่ม มักจะมีคุณค่าในตัวของมันเสมอไม่ว่า
จะเป็น นิตยสาร นิยาย วรรณกรรม หนังสือพิมพ์ การ์ตูน ฯลฯ (ขอไม่กล่าวถึงหนังสือ
เรียนนะ)ข้อความที่อยู่ในหนังสือเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการเปิดโลกทรรศน์ สร้างความรู้
หรือจินตนาการให้แก่ผู้อ่านทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับแง่คิด และการนำไปใช้ของผู้อ่านแต่ละท่าน
สำหรับฉันแล้ว เรียกได้ว่า ฉันก็เป็นนักอ่านคนหนึ่งฉันเองก็มีหนังสือเล่มโปรดอยู่ชุดหนึ่ง
เป็นแนวแฟนตาซีและโรแมนติกนิดๆหนังสือชุดนี้มี 4 เล่ม นอกจากจะอ่านสนุกสนาน
ชวนติดตาม และยังล้วนด้วยการสอดแทรกแง่คิดต่างๆ ให้แก่ผู้อ่านสำหรับฉันแล้ว
จากการอ่านวรรณกรรม และนิยายมาอย่างโชกโชนฉันขอยกให้หนังสือเล่มนี้เป็น
The best ของวรรณกรรมเยาวชนของไทย "หัวขโมยแห่งบารามอส" นั่นเอง
ฉันขอยกประโยคเด็ดๆในหนังสือ ที่ฉันนำมายึดเป็นข้อคิดและ เตือนสติของฉันหลาย
ต่อหลายครั้ง

"จำไว้นะว่า การสอบสวนคนเข้าเมืองที่นี่ ขอเพียงแต่พูดจาสุภาพก็ผ่านได้แล้ว"
คำพูดนี้ โรเวนพูดกับเฟริน(ตัวเอกของเรื่อง)ก่อนที่จะสัมภาษณ์เข้าเมืองซึ่งเป็นการบอก
กลายๆ ว่า เมืองหน้าด่านนี้ผ่านได้ง่ายๆ เพียงแค่มีมารยาทหรือสัมมาคาราวะ ก็เพียงพอ
แล้ว แต่เฟรินกลับถือว่าตัวเองฉลาดหวังใช้เส้นสายความเป็นเจ้าหญิงโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
จึงถูกส่งไปลงโทษที่เมืองยักษ์ จนทำให้เพื่อนร่วมเดินทางต้องเดือดร้อน คนส่วนมากไม่
ชอบกฎเกณฑ์ แม้แต่พื้นฐานง่ายๆ ยังรักษาไม่ได้ทั้งที่ง่ายแสนง่ายที่จะผ่านด่าน แต่ก็พอใจ
ที่จะอยู่แค่ตรงนั้น และหากใช้ความคิดสักนิดก่อนพูด เฟรินและเพื่อนคงไม่ลำบากอย่างนี้

ประโยคที่เฟรินได้สนทนากับลูซิฟิน หัวหน้าเผ่าคนแคระดำ"เพื่อให้เอาชีวิตรอด มันไม่มี
เรื่องให้ต้องคำนึงมากหรอกนะท่าน"
"จริงฝ่าบาท เพราะเพื่อให้เอาชีวิตรอด คนเราก็อ้างได้สารพัดเรื่องเพื่อให้ได้อย่างที่

ต้องการ เราก็หาเหตุผลมาได้มากมาย"ราวกับลูซิฟินต้องการบอกกับเฟริน่วา เพื่อให้ตนได้
ในสิ่งทีต้องการแล้วจะทำอะไรก็ได้เพื่อให้ได้มา โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรี หรือคุณธรรมในใจ

ที่นครจันทรา ราชินีผู้มีความสามารถในด้านการทำนาย ผู้มีฐานะเป็นอาของเฟรินพยายามที่จะ
ทำนายชีวิตให้กับเฟริน แต่เฟรินกลับปฏิเสธ โดยกล่าวว่า
"ช่างเถอะฮะ ชีวิตตัวเอง ขอลิขิตเองดีกว่า อะไรจะเป็นก็ให้มันเป็นขืนให้ผมรู้ว่า
อนาคตดีอย่างโง้นอย่างงี้ คนขี้เกียจอย่างผมคงเอาแต่นอนตีพุงสบาย แล้วขืนรู้ว่าไ
ม่ดีก็คงทำใจเลิกสู้ ไปๆ มาๆ ไอ้โอกาสที่พอจะได้ดีนิดๆ หน่อยๆ ก็กลายเป็นศูนย์
ไม่เอาดีกว่า" ชีวิตของคนเราควรจะให้อยู่ในกำมือของเราดีกว่าที่จะให้อยู่ในกำมือของหมอดู
เพราะถ้าหากเราทำดีอย่างเต็มที่แล้ว สิ่งดีๆ คงไม่ไปไหนไกล ในตอนท้ายราชินีจันทรา
ได้ทำนายไว้ว่า เฟรินจะอายุสั้น เฟรินจึงตอบกลับว่า
"ช่างเถอะท่านอา อยู่นานอีกปีสองปี ห้าปีสิบปี หรือยี่สิบปี ชีวิตก็คือ ชีวิตสั้นยาวไม่
สำคัญเท่ากับว่าอยู่แล้วจะทำอะไร ชีวิตผมถึงจะสั้น ผมก็จะทำให้มีค่าให้อยู่มีคนรัก
จากไปมีคนอาวรณ์ ท่านอาวางใจเถอะ ถึงชีวิตผมจะไม่ยืน แต่วันหนึ่งของผมจะ
มีค่าเท่ากับหนึ่งปี ทุกวันของผมจะมีค่าทุกนาทีจะมีความหมาย ผมจะไม่เกิดเปล่า
ตายเปล่า ไม่ใช้ชีวิตแค่ผ่านไปวันๆ"
โอ้ว ฟังแล้วขนถึงกับลุกเลยทีเดียว นั่นก็คือการเห็นคุณค่าของชีวิต อย่ามัวหลงคิดว่าชีวิต
ของเรานั้นยังอีกยาวไกล เพราะถึงยามที่ต้องจากไป จะนึกเสียดายก็สายเสียแล้ว
ฉะนั้นควรทำทุกอย่างให้เต็มที่ จะได้ไม่นึกเสียใจภายหลัง

ที่เดมอสเฟรินได้กล่าวกับเอวิเดส ผู้เป็นพ่อว่าคิลที่เป็นเพื่อนรักหักหลังตนเฟรินร้สึก
โกรธแค้นคิลเป็นอย่างมาก เอวิเดสจึงได้กล่าวเตือนสติลูกว่า
"คนเรานะลูก มีเหตุผลที่มาต่างกัน จึงมีการกระทำต่างกัน ความคิดต่างกัน
ในโลกนี้จริงๆ ไม่มีผิดไม่มีถูก มุมมองเรา เราว่าเขาทรยศ ทำผิด มุมมอง

เขาอาจว่าทำตามหน้าที่ ไม่ผิด ถ้าเขาพูดอย่างนี้ ลูกจะว่าไง"
ถ้าคิดได้อย่างนี้จิตใจในทางลบก็จะกลายเป็นบวก ไม่ต้องมาจมอยู่กับความโกรธ
และเคียดแค้น และอีกประโยคหนึ่งที่เอวิเดสบอกเฟริน"ทุกอย่างอยู่ที่ห้วงความคิด
ถ้าเราไม่รู้จักหมุนเปลี่ยนห้วงคิด โลกนี้ทั้งโลกก็จะมีแต่ศัตรูกับคนทรยศ
แต่ถ้าหมุนเปลี่ยนความคิดสักนิด โลกนี้ทั้งโลกก็จะมีแต่เพื่อน"

"มีคำกล่าวว่า จิตอันสงบย่อมมองเห็นทางอันสว่าง ส่วนจิตที่วุ่นวาย

แม้มีทางทอดยาวอยู่เบื้องหน้าก็ยังมองไม่เห็น" ประโยคนี้มหาปราชญ์เลโมธี
ได้กล่าวเตือนสติเฟริน เพื่อให้เฟรินมองเห็นทางออกของปัญหาถ้าหากเพียงใจเราสงบ
และมีสมาธิ เราก็สามารถพบทางออกได้อย่างง่ายดาย

วิลเลี่ยม นักเพนจรได้กล่าวประโยคเหล่านี้เพื่อเตือนสติ เจ้าชายริชาร์ด
"อำนาจที่แสวงหาจากภายนอก ไม่เคยเป็นนิรันดร
และชัยชนะเหนือใจตัวเองเท่านั้น จึงเป็นนิรันดร"

"เค้าก็มีข้อดีของเค้า นายก็มีข้อดีของนาย แทนที่จะเสียเวลามาทุกข์
เพราะอิจฉา เอาเวลามาหาข้อดีของตัวเอง แล้วนายจะรู้ว่า ตัวเองไม่จำเป็น
ต้องเปรียบเทียบกับใคร"
เจ้าชายริชาร์ดกล่าวว่า "เด็กปากแบบเฟรินนี่ต้องมีการสั่งสอน"
"ถ้าสอนตัวเองได้ ก็สอนคนอื่นได้ แต่นายแน่ใจหรือว่าจะสอนตัวเองได้"

และยังมีอีกหลายๆ ประโยคที่ฉันชอบมากๆ จากหลายๆ ตัวละครกล่าวไว้
"พลาดก็คือพลาด คนเรามันจะเรียนรู้จากความผิดพลาด คนไม่เคยผิดก็คือ
คนที่ไม่ทำอะไรเลย คนไม่ทำอะไรเลยก็ไม่มีวันก้าวหน้า"
"รู้ไหมว่ามีแต่คนโง่ถึงไม่รู้ว่าคำปรามาสน่ะ เค้ามีเอาไว้ให่ฮึดสู้ ไม่ใช่เอามา

นั่งท้อ คิดจะเป็นคนเหนือคนน่ะ มันก็ต้องหัดอดทนให้มากกว่าคนอื่น
ไม่ใช่มานั่งตีหน้าซึมงี่เง่า"
"ความผิดตัวเองมักเล็กเท่าเม็ดทราย ความผิดผู้อื่นมักใหญ่เท่าผืนฟ้า"


ทั้งหมดที่ฉันได้ยกมานั้น หากใครทำตาม หรือคิดอย่างนั้นได้นะฉันว่าโลกนี้คงจะมี
แต่ความสุข และฉันเองก็กำลังพยายามทำอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน

ขอจบด้วยประโยคสุดหวานจากพระเอกของเรื่องกันดีกว่า
"โว้ย นี่ไม่รู้จักง้อกันเลยใช่มั้ย ไอ้คาโลบ้า" เฟรินตะโกนอย่างหงุดหงิด
เพราะไม่เห็นวี่แววของชายที่ตนรักมาง้อตามที่ตนหวัง จึงจะหันหลังกลับไปง้อคาโล
เสียเอง แต่แล้วต้องชะงัก เพราะคนที่เธอเพิ่งด่าไปเมื่อครู่ได้ อยู่ต่อหน้าเธอแล้ว
"เมื่อรู้ว่าฉันไม่รู้จักง้อ ก็อย่างอนให้ต้องง้อจะได้ไหม" คาโลเอ่ยพร้อมใบหน้าที่แดงระเรื่อ
ว่าแล้วก็ดึงเฟรินเข้าสู่อ้อมแขน แต่สาวน้อยยังไม่พอใจในคำกล่าวของชายหนุ่ม จึงพูดว่า
"รู้มั้ยว่านายน่ะทรีตสาวไม่ได้ความ นี่ถ้าไม่ใช่ฉัน คิดรึว่าอะไรมันจะง่ายๆ แบบนี้"
คำกล่าวที่ทำให้คาโลนึกเอ็นดูจนต้องขยับตัวเข้าไปใกล้ก่อนเอ่ยคำถามที่ดูจริงจัง
แต่น้ำเสียงกลับฟังนุ่มหู
"ก็แล้วนายจะเอายังไง"
เท่านั้นเองนัยตาของเฟรินก็มีแววระริก เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงบ่งบอกความถูกใจ
"มันต้องเริ่มจากหัดพูดหวานๆ ไหนลองพูดให้ฟังหน่อยสิ เอาหวานๆ ชัดๆ นะ"
"จะเอาหวานแบบไหน" คำถามจากเจ้าชายผู้เย็นชา จนทำให้คนฟังเบิ่งตาขึ้นอย่างไม่เชื่อหู
เฟรินทำทีครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยเสียงดังฟังชัด
"จะบอกว่านายรักฉันก็ได้ ฉันชอบฟัง"
คาโลชะงักไปนิด พลันนัยน์ตาก็มีประกายขบขัน ก่อนเอ่ยตามอย่างว่าง่าย
"นายรักฉัน" เท่านั้นเองสาวน้อยคนฟังถึงกับหน้าร้อน แล้วผลักคนแกล้งโง่ออก
ทันควัน แต่ก็ถูกคนแกล้งโง่คว้าตัวเอาไว้
"อยากฟังไม่ใช่เหรอ แล้วจะหนีไปทำไม"
"ไม่เอา ไม่อยากฟังแล้ว"
"รัก" คนไม่อยากฟังยังดิ้นอยู่
"รักมาก" แล้วคนฟังก็ต้องเงยหน้ามองคนพูดอย่างซาบซึ้ง
"รักมากที่สุด" นัยน์ตาสองครู่ตราตรึงกันไว้อย่างมีความหมายที่สุดจะบรรยาย

...............ว้าวว ลึกซึ้งและโรแมนติกสุดๆ ไปเลย กรี๊ดๆๆ (เหอๆ เป็นเอามาก)