วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 7

“กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลังจากที่ฉันกลับถึงบ้านได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่
เป้ง(ยันรถ)มาส่งฉัน ฉันก็กระวีกระวาดวิ่งมารับโทรศัพท์ด้วยความอารมณ์ดีที่นานๆ ฉันจะมีสักครั้ง
“อาโย๋ แนนพูดคร้า!!” ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าใครโทรมา แต่ช่วยไม่ได้ก็ฉันอารมณ์ดีนี่ ฮิฮิ ^ ^
“(รถสตาร์ทติดรึยัง)” คำถามที่ฟังดูห้วนๆ ทั้งน้ำเสียงที่ฟังคุ้นหูชวนให้หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้น
ก็ปกติถ้าไม่มีธุระจริงๆ เขาไม่ค่อยโทรมานี่นา
“เป้ง... เป้งเองเหรอ” ฉันถามด้วยเสียงที่พยายามไม่บ่งบอกความตื่นเต้น
“(อืม แล้วคิดว่าใครล่ะ เสียงเปลี่ยนเชียวนะ)”
“อ๊ะ เปล่าๆ แค่ไม่คิดว่าจะโทรมาน่ะ” ฉันตอบ
“(แล้วรถสตาร์ทติดรึยัง)” เขาถามซ้ำ
“อ่อ เรียบร้อยแล้วล่ะ เป่ากรองแล้ว สำบายมั่ก” ฉันตอบ นึกว่าเขาเป็นห่วงรถของฉัน
“(เหรอ นึกว่ายังไม่ติด พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องไปรับ กึก! ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด)” เขาวางไปแล้ว แต่ฉันสิ
ได้แต่ยืนเอ๋อ น้ำลายแทบยืด ก่อนจะนึกอยากลงไปนอนชักกระแด่ว เอาหัวโหม่งพื้นให้มันรู้แล้ว
รู้รอดไปเลย โง่บรมเลยฉัน แล้วฉันก็พลาดโอกาสทองไป เพราะความโง่ของฉันเอง
(ยัยนี่บ้าผู้ชายจริงๆ) ฮือออ TT_TT

วันนี้เป็นวันที่ฉันมาถึงโรงเรียนตั้งแต่เช้าในรอยหลายเดือนก็ว่าได้ จึงทำให้อาจารย์ที่ยืนคุม
ประตูมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ปกติเวลาที่ฉันมาเช้าที่สุดก็คือ เวลาที่เขาเริ่มเข้าแถวกัน
แล้วนั่นแหละ แต่วันนี้ฉันมาโรงเรียนตั้งแต่เช้าก็เพราะฉันอยากจะแก้ตัวกับอาที่ฉันไปจัดแผง
ขายของให้อาสายสุดๆ ในวันก่อนนั่นเอง
เมื่อฉันจอดรถเสร็จแล้วฉันก็ปีนข้ามรั้วลวดหนามที่กั้นระหว่างลานจอดรถกับโรงอาหารทั้งๆ
ที่ฉันใส่กระโปรง จึงทำให้นักเรียนชายพากันมองฉันด้วยสายตาออกแนวทึ่งๆ และสายตา
จากพวกผู้หญิงมันออกเชิงว่ากำลังแช่งให้ฉัน แบบว่าขอ ให้มันตกลงมาหน้าทิ่มลวดหนาม
หรือขอให้กระโปรงมันแหกไปเลย -*- ใช่ว่าฉันอยากจะทำตัวให้เป็นจุดเด่นหรืออะไร
หรอกนะ แค่ฉันเลือกจอดรถไว้ในส่วนที่ลึกที่ สุดของลาน เพราะมันมีร่มของต้นไม้บังแดด
ให้กับรถของฉันได้ แต่ลานจอดรถนั้นมันมีทางเข้าออกแค่ทางเดียวน่ะ ฉะนั้น สรุปได้ว่า
ฉันขี้เกียจเดินไกลนั่นเอง -_- ;
“เอ้า!! ปีนอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวจะได้ตกลงมาหน้าแหกสักวัน” เสียงเจ๊ตะโกนแซวฉัน
อันที่จริงฉันว่าเจ๊น่าจะชินกับสิ่งที่ฉันทำได้แล้วนะ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันปีนรั้ว
ถ้าให้นับไป มันก็หลายสิบครั้งแล้วล่ะมั้งฉันว่านะ
“ไม่ต้องห่วงหรอกเจ๊ หลับตาปีนยังได้เลย” ฉันคุยไปอย่างงั้นเอง เสียวๆ เหมือนกัน
แหละ เพราะปกติไม่ค่อยได้ปีนตอนใส่กระโปรงเท่าไหร่ ฉันพูดจบก็กระโดดลงจากรั้ว
ฟึ่บ!! แคว้ก!! หืม... เสียงอะไรน่ะ ฟังดูเหมือนเสียงผ้าขาด ฉันคิดแล้วจึงก้มมองดูที่
กระโปรงตัวเอง แว้กกก!! ท่าทางกระโปรงฉันจะไปเกี่ยวกับลวดหนามเข้าให้ตอนที่
กระโดดลงมา T_T ดีนะที่มันขาดเป็นทางยาวแค่ประมาณนิ้วเดียว เฮ่อ ขี้เกียจเย็บอ่ะ
“กูว่าแล้ว ไหนดูซิ ขาดจนเห็นน้องสาวมึงมั้ย” เจ๊ถามฉันด้วยความเป็นห่วงตามประสา
คนสูงอายุ ฉันก็แอบคิดนะว่า วัยขนาดอย่างเจ๊เนี่ย เป็นแม่หรือป้าฉันได้สบายๆ เลย
แต่ทำไมถึงยังเรียกแกว่าเจ๊อยู่ได้ สงสัยเพราะเจ๊แกทำตัววัยรุ่น ทั้งคำพูดและการแต่งตัว
ล่ะมั้ง เลยตัดใจเรียกป้าไม่ลง
“ตรงชายกระโปรงเอง ไม่เห็นหรอกเจ๊”
“เออ ดีแล้ว เจ๊ไม่อยากให้ลูกค้าเจ๊เสียสุขภาพตาน่ะ โฮะๆ”
“...” เจ๊กัดฉันได้แล้วหัวเราะสะใจอีก ฉันไม่อยากต่อความอะไร ฉันเลยเดินชิ่งไปหา
อะไรมาประทังความหิวในมื้อเช้านี้ ก๋วยเตี๋ยวไก่ร้อนๆ ร้านประจำของฉัน แล้วฉันก็ยก
ชามก๋วยเตี๋ยวมานั่งกินในร้านเจ๊เหมือนเดิม ระหว่างที่ฉันกำลังกินก๋วยเตี๋ยวที่แสนอร่อย
เอ่อ จริงๆ ก็ไม่อร่อยเท่าไหร่หรอก เพราะขี้เกียจปรุง ก็คนมันหิวอ่ะ แล้วฉันก็เหลือบ
เห็นผู้หญิงของเป้งกับเพื่อนสาวของเธอกำลังเดินตรงมาทางนี้ สงสัยจะมาซื้อผลไม้
จากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจมองอะไรอีกเลยนอกจากก๋วยเตี๋ยวในชาม(ก็บอกแล้วว่าหิว)

“ยัยนั่นมันมองแนนแปลกๆ นะเจ๊ว่า” เจ๊พูดเสียงเครียดขึ้นทันที หลังจากที่ผู้หญิงของ
เป้งกับเพื่อนสาวของเธอเดินจากไป พลางหลิ่วตาบอกฉันว่ายัยนั่นที่เจ๊หมายถึงนั่นเป็นใคร
“อ๋อ อ่างอันเออะเอ๊ ไอ้อากอ๋นใอ”(ช่างมันเหอะเจ๊ ไม่อยากสนใจ)
“ไม่เอาเรื่องหน่อยเรอะ ปกตินี่เห็นรุ่นน้องมันมองหน้าเป็นไม่ได้ จะลุยท่าเดียว”
เจ๊ถามฉันด้วยน้ำเสียงที่แปลกใจ
“ไอ้อ่ะ เอื่อ” (ไม่อ่ะ เบื่อ)
“แปลกนะเนี่ย” โอ๊ย!! ยัยเจ๊นี่จะยุให้ฉันไปตบเด็กนั่นให้ได้เลยใช่มั้ย แต่ถ้าไม่ใช่ผู้หญิง
คนนี้นะที่จ้องหน้าฉัน ป่านนี้ฉันเอาตะเกียบทิ่มลูกกะตา แล้วปาด้วยชามก๋วยเตี๋ยวไปแล้ว
(โหดไปมั้ยเนี่ย) แต่ตอนนี้ฉันก็ยังคงกินต่อไป
“อันไอ้อิดออก แอนอิดเองอี้ไออุ้งอะแอนอัน”(มันไม่ผิดหรอก แนนผิดเองที่ไปยุ่งกะ
แฟนมัน) ฉันตอบไปตามความรู้สึกจริงๆ ของฉัน
“นี่!! จะหยุดกินแล้วคุยกันดีๆ ก่อนจะตายมั้ย” แล้วเจ๊ก็ตวาดใส่ฉัน
“แหะๆ ได้จ๊ะเจ๊” ฉันหยุดกินเพราะก๋วยเตี๋ยวหมดพอดี แล้วรีบหันไปยิ้มหวานประจบเจ๊
เดี๋ยวแกเกิดโมโหคว้ามีดมาเฉาะหัวฉันก่อน นั่นมันคงไม่เป็นผลดีกับฉันแน่ๆ
“หมายความว่ายังไง ไปยุ่งกับแฟนเค้าก่อนน่ะ จะแย่งแฟนมันเหรอ”
“เฮ้ย!! ป่าวนะเจ๊ แค่เป้งให้แนนยืมรถกลับบ้านเฉยๆ แฟนเค้าคงไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่”
ฉันพูดแล้วก็อดเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ ก่อนฉันจะพูดอีก
“เจ๊ก็รู้นิสัยแนน แนนไม่เคยคิดจะแย่งของของใครหรอก แล้วก็ไม่เคยหวังอะไรจากคนที่
เขามีเจ้าของอยู่แล้ว”
“อืม ดีแล้วอะไรที่ไม่ใช่ของเรา อย่าไปเอามา มันบาป”
“จ๊ะเจ๊”
“แต่ถ้ามันมามองแนนด้วยสายตาอย่างเมื่อกี้อีก เจ๊ขอสั่งให้ตบมันได้เลย หรือไม่ก็แย่ง
แฟนมันมาอย่างที่มันกลัวนั่นเลย สะใจดี ฮ่าฮ่า” เจ๊พูดแล้วก็หัวเราะอยู่คนเดียว ปล่อยให้
ฉันต้องมานั่งคิด ...โห เจ๊เป็นผู้ใหญ่ประเภทไหนกันเนี่ย บอกฉันไปตบเด็ก แล้วให้แย่ง
แฟนเขาอย่างหน้าตาเฉย
“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าตบกันเพราะแย่งผู้ชาย ชื่อเสียงแนนก็ป่นปี้หมดกันน่ะสิ
แล้วไปแย่งแฟนเขาน่ะ มันไม่มีศักดิ์ศรี แนนไม่ชอบ” ฉันตอบไม่จริงจังเท่าไหร่
แต่มันเป็นความจริงที่ฉันคิดมาตลอดเวลา
“โอ๊ย ไม่ต้องห่วงชื่อเสียงหรอก เพราะมันป่นปี้ไปตั้งแต่มึงชอบทำตัวห่ามๆ บ้าๆ นั่นแล้ว
ฉะนั้นไม่ต้องรักษาชื่อเสียงหรอก ฮ่าฮ่า” เจ๊ว่าต่อทันที
“...” ฉันดูแย่ถึงขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย อาจจะเป็นเพราะฉันเป็นตัวของตัวเอง และมีความคิด
เป็นของตัวเองมากไปล่ะมั้ง ไอ้การโดดเรียน ปีนกำแพง หนีเรียนมาแอบนอนที่โรงอาหาร...ฯลฯ
เอ่อ ไล่ไปก็เปลืองเนื้อที่เปล่าๆ นั่นแหละๆ อาจเป็นเพราะอย่างนี้ล่ะมั้ง ฉันถึงไม่เคยรู้สึกว่า
มันเป็นสิ่งที่แปลกหรือผิด สิ่งที่ฉันทำมันมักจะมีเหตุผลมารองรับเสมอ ถึงแม้จะเป็นเหตุผลที่
ไม่มีใครจะเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยเหตุผลนั้นคือ ฉันไม่ได้ทำอะไรให้ใครเดือดร้อนนี่
ฉันจึงทำในสิ่งที่ฉันอยากทำ และไม่คิดจะทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ฉะนั้น จึงไม่มีใครมาบังคับ
ให้ฉันทำอะไรในสิ่งที่ฉันไม่อยากทำได้ แต่ถ้าเปลี่ยนมาเป็นขอร้องล่ะก็ ฉันจะยอมทำมันแต่
โดยดี ฉันคิดแล้วก้มลงมองชามก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ตรงหน้า อ๊ะ!! ยังเหลือลูกขิ้น กับหมูอยู่หน่อยๆ
นี่นา ว่าแล้วก็โซ้ยต่อดีกว่า
“ติ๊ง ตอง ต๊อง ติ่ง ต่อง ตอง ติ๊ง ต่อง” แล้วเสียงออดที่ฟังดูปัญญาอ่อนสุดๆ ก็ดังขึ้น เพื่อแจ้ง
ให้ทุกคนในโรงเรียนทราบว่าถึงเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติแล้ว และแล้วฉันก็กินก๋วยเตี๋ยวพร้อม
ซดน้ำหมดพอดี ฮ้า..อิ่มเว้ยยย แล้วฉันก็นั่งตบพุงน้อยๆ ของฉันด้วยความสบายอุรา ^o^
แล้วเจ๊ก็มองฉันด้วยสายตาปลงๆ เชิงเวทนาในกิริยาของฉัน ฉันได้แต่หัวเราะแหะๆ ให้เจ๊
เฮ่อ... เวลาที่ฉันมาโรงเรียนแล้วฉันรีแลกซ์สุดๆ ก็ตอนอยู่กับเจ๊นี่แหละ
“แนน อาจารย์ไมล์เดินมาทางนี้แล้ว ไปเข้าแถวเร็ว!” เจ๊กระซิบบอกฉันเสียงเครียดๆ พอฉัน
ได้ยินอย่างนั้นก็รีบคว้ากระเป๋าแล้วกระโดดข้ามรั้วด้านข้างร้านของเจ๊ออกไปด้วยความเร็วแสง
และออกไปจากโรงอาหารทันที และฉันก็เดินมาถึงแถวโดยสวัสดิภาพ
วันนี้ฉันตั้งใจมาเข้าแถวของห้องตัวเอง เพราะติดว่าเกรงใจอาจารย์จรูญจากที่คุยกันเมื่อวันก่อน
พอฉันไปเข้าแถว เพื่อนๆ ร่วมห้องก็พากันมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ มีแต่ยัยบุ๋มเพื่อนร่วมห้อง
พูดขึ้นมาแว่วๆ ว่าวันนี้นิมิตรหมายดี ท่าทางฝนจะตก หรืออะไรซักอย่าง ส่วนเพื่อนร่วมก๊วน
ของฉันน่ะเหรอ บ้างก็แซว บ้างก็ถึงกับทำหน้าเหวอไปเลยทีเดียว แต่ช่างเถอะ ไม่ได้หนักหัว
ใครนี่ จากนั้นฉันก็ยืนเก้อๆ เพราะไม่รู้จะคุยกับใครหรือไม่มีใครมาคุยด้วยก็ไม่แน่ใจ
จากนั้นฉันก็ยืนคิดอะไรไปเรื่อยๆ ที่หน้าเสาธง อาจารย์ฝ่ายปกครองกำลังพูดอะไรซักอย่าง
นี่แหละ ฉันเองก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง เฮ่อ น่าเบื่อจริงๆ
“วันนี้คิดยังไงมาเข้าแถวห้องตัวเอง ฝนตกแน่ๆ” เสียงนุ่มทุ้มของเป้งทักฉันขึ้นจนทำให้ฉัน
สะดุ้งสุดตัว ฉันจึงหันไปมองเขา เขากำลังยิ้มอย่างอารมณ์ดีให้ฉันอยู่
“ก็อาจารย์เขาขอมาอ่ะ เลยต้องจัดให้ แล้วตัวเองน่ะ ทำไมไม่เข้าแถวที่ห้องตัวเองล่ะ
หรือว่าอยากมาเรียนห้องควีน”ฉันถามกลับ
“ไม่เอาอ่ะ ขอมาเรียนห้องคิงดีกว่า จะได้เก่งที่สุดไง ^ ^”
“ห้องคิงอ่ะ มีดีแค่เรียนเท่านั้นแหละ น่าเบื่อจะตาย” ฉันบอก
“งั้นย้ายไปห้องอื่นสิ” เป้งพูดแล้วเสมองไปทางอื่น
“ย้ายห้องตอนอยู่ ม.6 นี่นะ ประสาทกลับรึไง” ฉันเลยแว้ดกลับ
“ก็ป่าว เผื่ออยากไปอยู่ห้อง 5 ^ ^” เป้งพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ห้อง 5 อ่ะนะ ไม่เอาอ่ะ เพื่อนผู้หญิงในห้องท่าทางจะเข้ากันไม่ได้” ฉันปฏิเสธไปทันที
“งั้นจะไปห้องไหน” เขาหันมาถามฉันตรงๆ
“ไม่ไปไหนทั้งนั้นล่ะ จะอยู่ห้องนี้แหละ” ฉันตอบพลางเหลือบมองเพื่อนในก๊วนหลายคน
กำลังมองมาทางฉันกับเป้งอย่างสนใจ
“ว้า นึกว่าจะอยากไปอยู่ห้องเดียวกันซะอีก” เป้งพูดเบาๆ แต่ฉันได้ยินชัด ฉันนิ่งไปสักพัก
พร้อมทั้งความยินดีและความสับสนก็พุ่งเข้าสู่จิตใจ แต่ฉันจะแสดงความรู้สึกอะไรออกไปได้
จึงได้แค่แสร้งถามเขากลับราวกับว่าไม่ได้ยินประโยคที่เขาพูดเมื่อครู่
“ว่ายังไงนะ เมื่อกี้ไม่ทันได้ฟัง” ฉันถามเขาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติที่สุด
“ป่าวๆ” เขาตอบแล้วก็มองหน้าฉันนิ่งๆ เขาจ้องฉันด้วยสายตาที่ฉันไม่เคยได้รับจากเขา
จนทำให้ฉันรู้สึกขัดเขินไปหมด แล้วเขาก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วถามฉัน
“ได้ยินว่ามาว่าเพิ่งหักอกหนุ่มมาเหรอ”
“ก็อย่างที่ได้ยิน”ฉันตอบเสียงนิ่ง
“เฮ่อ ขี้เหร่แล้วยังจะเลือกอีก อุตส่ามีคนหลงผิดเข้ามาทั้งที”
“เป้ง” ฉันส่งเสียงเรียบ เหมือนเป็นการเตือนว่า ระวังตัวให้ดีๆ
“ยังลืมรักเก่าไม่ได้หรือไง” เป้งถามฉันเหมือนไม่เรื่องสำคัญ แต่ฉันสิ คำถามนั้นมันยิ่ง
ทำให้ฉันรู้สึกแย่ เพราะพวกเขาสองคนเป็นเพื่อนกัน มันยิ่งตอกย้ำว่าฉันไม่ควรรักเป้ง
“ทำไมต้องลืม ทั้งๆ ที่ไม่ได้จำ” ฉันบอกเขาเสียงแข็ง
“เอาให้มันแน่ ตั้งแต่เลิกกับมันมายังไม่เห็นมีแฟนใหม่”
“ที่ไม่มีก็เพราะเบื่อและยังไม่อยากมี” ฉันตอบ แต่เหมือนว่าฉันเห็นอะไรที่แปลกไป
ในแววตาของเป้ง แววตาที่ดูเหมือนกำลังสับสนรึเปล่า แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“อาทิตย์หน้าต้องไปฝึก ร.ด. แล้วนะ” เขาพูดขึ้นมา แต่ไม่มองหน้าฉันอีกต่อไปแล้ว
“อืม ไปหลายวันอยู่ใช่มั้ย” ฉันถามเขาพร้อมความรู้สึกใจหาย
“ใช่ เดี๋ยวจะเอารถไว้ให้ใช้นะ” เป้งพูดขึ้นราวกับมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่ฉันก็
อดตกใจไม่ได้ รถทั้งคันจะมาฝากไว้กับคนอื่นอย่างฉันตั้งหลายวันได้ยังไง
“แล้วที่บ้านจะไม่ว่าเอาเหรอ” ฉันถามเขา
“ใครจะว่า ก็อยากจะเอาไว้นี่ หรือว่าไม่อยากเอาไว้ใช้ จะได้เอาไปฝากไว้บ้านคนอื่น”
เขาตอบอย่างเอาแต่ใจ
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ก็ได้ๆ เดี๋ยวจะดูแลให้ดีๆ เลย” ฉันบอก
จากนั้นเขาก็เดินไปที่แถวของห้องตัวเอง จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกที่เราคุยกันเป็นจริงเป็นจัง
ทุกทีนี่ต้องด่ากันก่อนถึงจะคุยกันได้ ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะมาคุยกับฉันเลย เขาเรียน
ร.ด.ปี 3 แล้วก็ต้องออกไปฝึกที่ค่ายทหาร แล้วต้องไปนอนที่ค่ายเลย เพราะเป็นการบังคับ
เฮ่อ ตั้งหลายวันแน่ะ แล้วที่เขาจะเอารถไว้ให้ฉันใช้ แสดงว่าเขาก็คงรู้ว่าฉันกับพี่แย่งรถกัน
ใช้อยู่ ส่วนมากตอนเย็นในทุกๆ วัน พี่ชายของฉันก็มาเอารถไป งั้นก็แปลว่า เขาใส่ใจฉันอยู่
เหมือนกันล่ะสิ -..- เฮ่อ ทำไมเขาต้องมีแฟนแล้วด้วยนะ ป่านนี้ฉันคงก็ปฏิบัติการได้สำเร็จ
แล้ว (อ๊ะๆ อย่าคิดมากนะ)

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 6

“แนน อาจารย์จรูญเรียกไปพบที่ห้องพักครูน่ะ” เสียงฟลุกกี้เพื่อนร่วมห้องของฉันดังขึ้น
หลังเรียนคาบสุดท้ายของวันเสร็จ
“ตอนนี้เลยเหรอ”
“ใช่”
“ขอบใจนะ”
ฉันพูดกับฟลุกกี้เสร็จก็เดินไปห้องพักครูทันที นี่มันเรื่องอะไรกันนะ ถึงต้องเรียกพบเป็นการ
ส่วนตัวอย่างนี้ ปกติก็ไม่เคยเห็นสนใจฉันเลยด้วยซ้ำ นอกจากจะแทงบอล(ฉันรับเดิน
โพยบอลให้ลุงน่ะ มันผิดกฎหมายนะ อย่าทำตามเด็ดขาด) ฉันก็คิดไปเรื่อย เดาไปมั่วซั่ว
ว่าจะเป็นเรื่องอะไร แต่เมื่อฉันไปถึงห้องพักครูก็ต้องร้องอ๋อ เมื่อเห็นใครอีกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะ
ของครูอยู่ก่อนแล้ว ...เอ๋นั่นเอง ฉันเดินไปหาแล้วไหว้อาจารย์ ก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างเซ็งๆ
“มีอะไรกับหนูเหรอคะ”
“นั่งก่อนสิ”
“ขอบคุณค่ะ ไม่นานใช่มั้ยคะ หนูต้องรีบไปทำงาน” ฉันรีบออกตัวไว้เพราะไม่อยากเสียเวลา
กับเรื่องไม่เป็นเรื่องนี่
“ไม่นานหรอก แค่อยากจะคุยด้วยเรื่องพวกเธอสองคน” อาจารย์จรูญว่า
“...”
“...”
“มีปัญหาอะไรกัน เมื่อก่อนเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เดี๋ยวนี้แม้แต่หน้ายังไม่มองกันเลย
ได้ยินมาเรื่องถึงขั้นจะตบตีกันด้วย เล่าให้ครูฟังหน่อยสิ”
“...”
“ใครบอกเหรอคะว่าหนูกับเค้าจะตบตีกัน” ฉันถามเสียงแข็ง แต่สายตาของฉันกำลังจ้องมองอยู่ที่
ยัยเอ๋ ที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่
“ใครบอกไม่สำคัญ แล้วมันจริงรึเปล่า มีเรื่องอะไรกัน” อาจารย์พูด
“เรื่องมันไม่สำคัญถึงขนาดที่อาจารย์ต้องมากังวลหรอกค่ะ แล้วอีกอย่างหนูก็ไม่เคยคิดจะไปตบตี
ใครก่อน อาจารย์สบายใจได้ค่ะ” ฉันตอบเสียงเรียบ
“...” ยัยเอ๋ยังคงเงียบ
“ไม่สำคัญ แล้วถึงกับจะกลับมาคุยกันดีๆ ไม่ได้เลยหรือไง”อาจารย์พูด
“หนูทราบว่าอาจารย์ไม่สบายใจ แต่จะเป็นอย่างนี้อีกไม่นานหรอกค่ะ”
“แนน...” เอ๋พูดโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงดีใจ
“เพราะไม่นานหนูก็เรียนจบแล้ว คงไม่ได้เจอกันอีก หมดธุระแล้วหนูลานะคะ” ฉันว่าเสียงแข็ง
แล้ว ยกมือไหว้อาจารย์ แล้วเดินออกมาทันที
เฮ่อ ฉันใจร้ายมากใช่ไหม ที่ไม่ยอมให้อภัยเธอคนนั้น แต่ถ้าฉันให้อภัยเธอ แล้วจะมั่นใจได้
ยังไงว่าเธอจะไม่ทำให้ฉันเจ็บปวดอีกครั้ง ฉันไม่เคยให้อภัยได้ใครเลยสักครั้ง ถ้าใครคนนั้น
ทำให้ฉันเจ็บปวด ฉันมักจะคิดอยู่เสมอว่า มีครั้งแรกแล้ว มันก็จะมีครั้งต่อๆไป ฉันจึงไม่เคย
ไว้วางใจใครได้อีกเป็นครั้งที่สอง ความไว้ใจของฉันมันมีแค่เพียงหนึ่งครั้ง แต่เป็นครั้งเดียว
ที่ฉันไม่เคยคิดจะเอามันคืนตลอดชีวิตของฉัน แต่พวกเขาก็ทำลายมัน ฉันกลัวที่จะต้องกลับ
มาเจ็บปวดกับมันอีกครั้ง ฉันเห็นแก่ตัวและอ่อนแอ ใช่ไหม ถ้าฉันยังคงเป็นอย่างนี้อยู่
แล้วคนรอบตัวจะหายไปจากชีวิตของฉันไหม
แหมะ! แหมะ! ซ่าๆๆๆ อ้าวเวร... ฝนตกซะได้ ฉันหยุดเดินแล้วเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอย่าง
เอาเรื่อง ก่อนจะถอนหายใจออกมา ...เอาเหอะ เซ็งๆ เดินเล่นน้ำฝนซะหน่อย โชคดีนะที่วันนี้
ฉันใส่ชุดพละ ไม่งั้นได้โป๊แย่ แต่ฝนชักจะตกแรงเกินไปแล้ว คงเดินต่อไปไม่ไหวแน่ๆ
ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจจะทำอะไรต่อไป เพราะมัวแต่มองหาที่หลบฝน
หมับ!! มือของใครคนหนึ่งมาคว้าแขนฉันไว้ แล้วก็ลากฉันไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย!!” ฉันส่งเสียงได้เพียงแค่นั้น แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าของเจ้าของมือที่แสนอุกอาจนั้น ฉัน
จึงยอมเดินตามเขาไป พลางคิดว่าในโรงเรียนจะมีซักกี่คนที่กล้ามาลากฉันจนต้องเดินตามแถๆ
ไปอย่างนี้
“อยากไม่สบายนักรึไง เดินตากฝนอยู่ได้!! -*-“ เจ้าของมือที่ว่าตวาดใส่ฉันทันทีเมื่อเข้ามา
หลบฝนที่ใต้ถุนอาคารเรียน
“ฮึก... ฮึก...” แต่ฉันตอบอะไรไปไม่ได้ เพราะฉันกำลังจะร้องไห้ จึงมีแค่เสียงกลั้นสะอื้นเบาๆ
“เฮ้ย แนน!! เป็นอะไรน่ะ ดุแค่นี้ถึงกับร้องไห้เลยเหรอ ขอโทษนะ!!” เป้งถามฉันอย่างตกใจ
“ฮึก...” จริงๆ ฉันไม่ได้โกรธเขาหรอกที่ตวาดฉัน แต่มันเป็นเพราะเรื่องที่ฉันคิดก่อนหน้านั้น
ต่างหาก มันกำลังหลอกหลอนฉัน เฮ่อ แล้วฉันจะร้องไห้ทำไมเนี่ย เมื่อคิดได้อย่างนั้น ฉันก็หยุด
ร้องไห้ทันที ก่อนจะหันมาทางเป้ง
“เปล่านี่ ใครร้อง” ฉันตอบเสียงนิ่ง
“แนนนั่นแหละร้องเมื่อกี้เห็นอยู่ นั่นตายังแดงอยู่เลย”
“บ้าป่าววะ ที่ตาแดงเพราะน้ำฝนมันเข้าตาต่างหาก” ฉันทำหงุดหงิดกลบเกลื่อนความอ่อนแอ
ของตัวเอง แล้วเป้งก็เงียบไป แต่ไม่วายส่งสายตาจับผิดมาให้
“แล้วไปเดินตากฝนทำไม” เขาถามฉันเสียงเรียบ
“ก็เดินเพลินๆ น่ะ น้ำฝนเย็นดีออก” ฉันตอบไปพร้อมทำท่าทางร่าเริงสุดๆ
“ประสาท” แน่ะ ด่าฉันอีก
“ว่าเราบ้า แล้วทำไมไม่ให้เดินต่อไปล่ะ ไปลากเราเข้ามาทำไม”
“ก็...นะ” เขาว่าแล้วก็หันหน้าหนีไปทางอื่น เมื่อไม่ได้คำตอบที่ต้องการ ฉันจึงถอดกระเป๋าเป้
ออก ก่อนจะสะดุ้งโหยเมื่อคิดอะไรได้ กระเป๋างั้นเหรอ ฮืออ หนังสือเรียนของช้านนน เมื่อเห็น
ว่ามันเปียกจนมีน้ำหยดย้อยออกมา ฉันจึงได้แต่เอามันออกมาสลัดน้ำออกอย่างปลงๆ กับชีวิต
พลางด่าตัวเอง ในใจ ...ยัยบ้าเอ้ย ยังดีนะที่ฉันฝากบางส่วนไว้ที่ร้านเจ๊ตั้งแต่เที่ยงแล้ว
“เป็นไงล่ะ อยากไปถ่ายมิวสิคเดินตากฝน ฮ่าๆ” เป้งซ้ำเติมฉันทันที
“...” ฉันไม่ตอบกลับอะไร เพียงแต่มองเขาอย่างเอาเรื่อง
“แล้วนี่ต้องไปทำงานมั้ยเนี่ย เย็นแล้วนะ” เขาถามฉันอีก
“ฮะ จริงด้วย งั้นไปแล้วนะ” ฉันเตรียมจะผละออกมา เขาก็เรียกฉันไว้ก่อน แล้วยื่นร่มคัน
สีชมพูหวานแหววสุดๆ ให้กับฉันด้วยสีหน้าแปลกๆ
“ไม่เอาหรอก รถเรามีคลัช ถือร่มไปด้วยไม่ได้หรอก” ฉันตอบไปตามความจริง ขืนฉันต้อง
ถือร่มไปด้วยมีหวังฉันต้องตื่นฟื้นสติขึ้นมาที่โรงพยาบาลแน่ๆ
“งั้นจะเดินไปส่งที่จอดรถละกัน (-_- ;)”
“มะ.. ไม่ปฏิเสธละกัน” ตอนแรกว่าจะปฏิเสธไปแต่คิดไปคิดมา ไม่ปฏิเสธดีกว่า
อันที่จริงน่ะ ฉันเดินฝ่าฝนไปเลยก็ได้ เพราะตอนนี้ฉันเปียกโชกทั้งตัวอยู่แล้ว
แต่เรื่องอะไรฉันจะยอมพลาด โอกาสที่หายากแสนยากอย่างนี้ได้ไงกัน ^o^
“...” เขากางร่มออกมา แต่เสมองไปทางอื่น ทำไม่สนใจฉันซะอย่างนั้น
“เอ่อ ร่มมันคันเล็กนิดเดียวเองนะ” ฉันทักออกไป เพราะรู้ถึงสรีระของตัว เอง
ฉันตัวสูงขนาดพอๆ กับเขานั่นล่ะ แถมไม่ใช่คนอ้อนแอ้นบอบบางสักเท่าไหร่
เพื่อนในก๊วนมากเรียกฉันว่า ยัยถึกมั่งล่ะ ยัยบึ๊กมั่งล่ะ T^T
“ก็เบียดๆ กันไปก็ได้ ไปเถอะ” แล้วฉันกับเขาก็เดินออกจากใต้ถุนตึกเรียนไปช้าๆ
ตึกตัก ตึกตัก เอาอีกแล้ว หัวใจฉันเต้นแรงยังกะจะกระโดดออกมาซะให้ได้ ฉันจะตาย
มั้ยเนี่ยถ้าเป็น อย่างนี้ไปนานๆ แต่มันเป็นความรู้สึกที่ดีจัง โรแมนติกสุดๆ
...ใต้ร่มคันเดียวกันวันฝนพรำ ฉันยังคงจดจำ ยังตรึงอยู่ในหัวใจ โว้ โว เย เย้...
พรึ้ด!! ว้าย!! ฉันลื่นเกือบจะล้มเพราะมัวแต่ร้องเพลงในใจจนไม่ทันได้มองทาง
แต่โชคดีที่ฉันคว้าแขนของเป้งไว้ทัน ไม่งั้นขืนล้มลงไปขายหน้าแย่เลย T T ว่าแล้ว
ก็อดไปมองเสี้ยวหน้าของเขาไม่ได้ หน้าเขาแดงจัง หรือเป็นเพราะสีชมพูของร่มนะ
แต่อย่างเขานี่เหรอจะพกร่ม แถมสีชมพูอีก
“สีร่มน่ารักเชียว ไม่นึกว่าจะชอบสีแบบนี้” คำถามที่ดูเหมือนคำแซวมากกว่าหลุดออก
จากปากฉัน เขามีสีหน้าที่ฉันดูไม่ออกว่าเขารู้สึกยังไง
“ร่มของน้องสาวที่นั่งโต๊ะข้างๆ น่ะ ไอ้ด้ามันยืมมาให้” เขาตอบเสียงเรียบ
“อ๋อ งั้นเหรอ นึกว่าเปลี่ยนรสนิยมจากชอบสีฟ้าไปชอบสีชมพูซะแล้ว”
“รู้ด้วยว่าชอบสีฟ้า”
“เอ่อ.. ก็ ก็เป็นเพื่อนกันไม่รู้ได้ไงว่าชอบสีไหน ถามแปลกๆ” ฉันรีบแก้ตัว
“เฮ่อ ถึงแล้ว” เป้งบอกพลางถอนหายใจ
“ขอบใจนะ” ฉันยิ้มให้เขานิดๆ แล้วสตาร์ทรถทันที
แชะ! แชะ! แชะ! ฉันสตาร์ทครั้งที่สามก็แล้ว ครั้งที่สี่ก็แล้ว มันก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะ
สตาร์ทติด แต่อย่างใด สงสัยเพราะรถเปิดกรองแน่ๆ เลย(สำหรับท่านผู้อ่านที่มีรถแต่ง
สองจังหวะน่าจะเข้าใจ) น้ำก็เลยเข้า ....ทำไงดีอ่ะ โดนอาด่าอีกแน่ๆ เลย ระหว่างที่
ฉันตีโพยตีพายในใจอยู่นั้น เขาก็ยื่นกุญแจรถของเขาให้ฉัน ทำเอาฉันเกือบสะดุ้งอีกรอบ
...อ้าว เขายังอยู่เหรอ นึกว่าเดินไปถึงไหนแล้ว ฉันจึงรับเอากุญแจรถของเขามาแบบงงๆ
“เอารถเราไปก็ได้ น่าจะสตาร์ทติด” แล้วเขาเอากุญแจกลับคืนไป จากนั้นก็เดินไปที่รถ
ของเขา แล้วจะยื่นกุญแจให้ตรูทำเท่ไรวะ -_- ; ฉันคิดอย่างงงๆ เดินตามเป้งไป
“เอารถเราไปก่อนก็ได้ เสร็จแล้วค่อยกลับมา เรารออยู่ใต้ถุนตึกนะ” เป้งบอกขณะที่จูงรถ
ของเขาออกมา ฉันจึงเดินไปรับเอารถของเขาอย่างงงๆ เขายิ้มให้ฉันทีหนึ่ง แล้วก็เดิน
จากไปพร้อมกับหัวใจของฉัน เขาน่ารักจัง =^^=

เมื่อฉันไปถึงร้านของอาก็ปรากฎว่าอาฉันได้เก็บร้านไปแล้ว อาบอกว่าเก็บร้านไปตั้งแต่
ฝนตกแล้วล่ะ ได้ยินอย่างนั้นฉันก็รีบขับรถกลับไปโรงเรียน เพราะเกรง ใจเจ้าของรถอยู่ไม่
น้อย แต่ก็แอบดีใจนิดๆ ที่ได้ขับรถของเขา สาวๆ ทั้งโรงเรียนคงอิจฉาตาร้อนฉันเป็นแน่
ที่ฉันได้ขับรถ สุดเท่ของหนุ่มฮอตอย่างเขา ว่าแล้วก็เอาซะหน่อย ฉันเลยขับร่อนไปทั่ว
เพื่อโชว์สักหน่อย แต่ฝนตกอย่างนี้ใครเขาจะมามองว่าฉันขับรถใคร(ไหนบอกว่าเกรงใจ
เจ้าของรถไงเล่า) ฉันจึงรีบบิด มอเตอร์ไซค์กลับไปที่โรงเรียน ^ ^
ฉันกลับไปถึงโรงเรียนฝนก็เริ่มซาลงบ้างแล้ว แล้วฉันก็ขับรถไปจอดทาง เดินใกล้ๆ
จุดนัดหมายของเรา อ๊าย!! คำว่าเรานี่ช่างฟังดูดีและอบอุ่นจังเลย ว่าแล้วฉันก็เดินไปหา
เขาที่ยืนมองฉันอยู่ ก่อนจะรู้สึกเสียวแปลบๆ ที่ท้ายทอยเหมือนโดนของมีคมทิ่มแทง
อ้า...ว่าแล้ว ฉันต้องโดนสายตาอาฆาตจากสาวๆ ที่อยู่แถวๆ นั้น เ อ๊ะ!! แล้วฉันก็
เหลือบเห็นผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงของเขานั่งอยู่ที่โต๊ะห่างกันออกไปไม่มากมองมาที่ฉัน
ด้วยสีหน้าบึ้งตึง แล้วฉันก็ยื่นกุญแจรถคืนให้เขา พลางส่งยิ้มที่ฉันคิดว่าสวยสุดๆ
ให้เขาไป แล้วพูดเสียงหวาน
“ขอบใจมากๆ นะเป้ง ถ้าไม่ได้รถเป้งเนี่ย แนนต้องแย่แน่ๆ เลย ^ ^” ฉันพูด
ทั้งที่จริงไม่ได้แย่อะไรเลย อันนี้เพื่อความสะใจและประชดใครบางคน อ๊ะ!! ตายแล้ว
ฉันเป็นนางเอกนะ ทำไมกิเลสเยอะอย่างนี้ ท่องไว้ๆ ฉันเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจดีๆ
(สะกดจิตตัวเอง)
“ถ้ารถสตาร์ทไม่ติดเดี๋ยวเรายันไปส่งที่บ้านให้ ^ ^” เขาบอกพร้อมรอยยิ้ม ฉันมอง
รอยยิ้มนั้น อย่างเคลิบเคลิ้ม ...กรี้ด คนอะไร หล่อแล้วยังจิตใจดีเป็นที่ซู้ดดด
“จ๊ะ ขอบใจนะ” ฉันพูด ...อี๋ ปกติฉันไม่เคยแทนตัวเองกับเขาว่าแนน แล้วก็ไม่เคยพูด
จ๊ะจ๋า อะไรอย่างนี้หรอกนะ แต่วันนี้ทำไปเพื่ออะไรสักอย่างที่ไม่อยากบอกใครให้รู้
เดี๋ยวจะหาว่าฉันเป็นนางเอกที่มีจิตใจแย่ ชิส์
และแล้วเขาก็ได้มาส่งฉันที่บ้าน แม้ว่าจะเป็นแค่การยันรถมอไซค์ของฉันมาถึงบ้านก็ตาม
แต่ฉันขอเรียกว่ามาส่งก็แล้วกันนะ(เข้าข้างตัวเองสุดๆ) ฉันก็สงสัยเหมือนกันว่าเขา
ไม่ต้องไปส่งผู้หญิงของเขาเหรอ พอฉันแย๊บๆ ถามไปก็ได้คำตอบว่า
“เขามีรถของเขา แล้วรถเขาก็ไม่ได้เสีย”
อ๋อ... เอ่อนะ ฟังดูเหมือนประชดฉันจัง แต่ช่างมันเหอะ ฉันถือว่าเขาเต็มใจช่วยเหลือฉัน
เพราะเขาไม่ยอมไปส่งใครตามคำขอร้อง แต่เขากลับมาส่งฉันโดยที่ฉันไม่ได้ร้องขอ เย้ เย ^o^