วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 9

โอ๊ยยยยย!!! วันนี้เป็นวันเสาร์ที่น่าเบื่อมากๆ เลย ฉันตื่นมาตั้งแต่เช้า แล้วก็ไปทำงาน
เสร็จสรรพตั้งแต่เช้าแล้ว แต่วันนี้ไม่มีอารมณ์รับจ๊อบต่อ ถึงแม้จะได้อีกหลายตังค์ก็ตามที
ฉันจึงกลับบ้านมานอนเปลญวนที่หน้าบ้านพร้อมกับอ่านการ์ตูนเรื่องโปรดแก้เซ็ง สาเหตุที่
ฉันเซ็งเป็ดตั้งแต่เช้า คือว่า แม่ของฉันโทรมาว่าวันนี้ไม่ให้ไปทำงาน เพราะจะพาฉันไปเที่ยว
ในตัวเมืองขอนแก่น ถ้าไปกับแม่แค่สองคนฉันคงไม่เซ็งขนาดนี้ แต่วันนี้สามีแม่ไปด้วยนี่สิ
เฮ่อ นี่ก็นั่งรอตั้งนานแล้วนะ
“โอ๊ยย นัดเก้าโมง แล้วนี่จะสิบโมงอยู่แล้วนะ ผู้ใหญ่ไรวะ ไม่รักษาเวลาเลย
ปล่อยให้เด็กมานั่งรอ โอ๊ยเซ็ง” ว่าแล้วฉันจึงลุกไปโทรศัพท์หาแม่ทันที
“ไม่ไปแล้วเหรอแม่” ฉันถามแม่เสียงเรียบ แม่คงรู้สึกได้ว่าฉันรอนานแล้ว
“(รอก่อนนะ ลุงหวัง(สามีแม่)เค้าไปทำธุระอยู่ เดี๋ยวคงมาแล้วล่ะ)”
“หนูไม่ไปแล้วนะ แม่ไปกันเถอะ หนูขี้เกียจรอ”
“(ไม่ได้ หนูรับปากแม่แล้วนะ รออีกแปบเดียวเอง)”
“ก็ไม่รักษาคำพูดกับหนูก่อนหนิ จะสิบโมงอยู่แล้ว”
“(เอาน่า รอแปบเดียว นานๆ จะได้ไปด้วยกันที)”
“งั้นก็ได้ค่ะ ถ้าเกินสิบโมงครึ่ง หนูจะไม่อยู่แล้วนะ ถ้าเกินเวลานี้ก็ไม่ต้องมารับนะคะ
แค่นี้นะคะ” ฉันยื่นคำขาดแล้ววางสายไปทันที
“เวรกรรมของตูจริงๆ ยัยแนนเอ๊ย เอาวะ ไปซื้ออาหารเม็ดให้จัมโบ้มันด้วยแล้วกัน
ที่นั่นคงจะถูกกว่า” ว่าแล้วฉันก็นอนรอแม่ไปจนฉันเผลอหลับไป


ตู้ม! เสียงระเบิดสะเทือนลั่นทั้งท้องฟ้า แรงระเบิดนั้นส่งให้ฉันกระเด็นไปไกลกว่า
สิบเมตร บาดแผลจากการต่อสู้ ทำให้ฉันลุกขึ้นอย่างยากเย็น เจ็บจนต้องกัดฟันกรอด
ก่อนจะใช้หลังมือปาดเลือดที่มุมปากออก ก่อนจะหันมาประจันหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
“โอ้ว ยังลุกขึ้นไหวอีกเหรอเนี่ย เธอนี่มันช่างอึดดีจริงๆ” เสียงไอ้ปีศาจในร่างของมนุษย์ดังขึ้น
...บ้าชิบ สู้มาตั้งนานแม้แต่รอยขีดข่วนมันยังไม่มีเลย
“แล้วแกจะรู้ว่าฉันมันอึดกว่าที่แกคิดไว้ซะอีก” ฉันตอบกลับมันไป พร้อมทั้งกระชับดาบในมือ
ให้แน่นขึ้นพร้อมสู้ ฉันหายใจเข้าลึกๆ แล้วพุ่งตัวเข้าปะทะกับมันอย่างรวดเร็ว แต่มันเร็วกว่าฉันนัก
มันส่งพลังทำลายล้างตรงมายังฉันอย่างรวดเร็ว ฉันได้แต่เบิ่งตากว้างมองก้อนพลังนั้นอย่างตื่นตะลึง
ก่อนจะหลับตาลงยอมรับชะตากรรม

ปิ๊น!!! ปิ๊น!!! เสียงแตรรถดังขึ้นเป็นการปลุกฉันไปในตัว ฉันสะดุ้งเฮือก ตื่นขึ้นมา
พร้อมทั้งเหงื่อซึมไปทั่วใบหน้า ก่อนจะมองรถเจ้าของเสียงที่มาปลุกฉันได้ทันการ ก่อนที่ฉันจะ
ฝันร้ายไปกว่านี้ ฉันคิดในใจ ...ฝันอะไรจะเหมือนจริงขนาดนี้วะเนี่ย ก่อนจะเหลือบมองหนังสือ
การ์ตูนเรื่องโปรดที่เพิ่งอ่านไปก่อนที่ฉันจะเผลอหลับไปอย่างคาดโทษ ไอ้การ์ตูนบ้า ทำตรูเกือบ
ตายในความฝัน ฉันคิดอย่างเซ็งๆ แล้วโยนหนังสือการ์ตูนเล่มนั้นเข้าไปในบ้านอย่างไม่ใยดีนัก
พอดีกับที่แม่ของฉันลงมาจากรถ
“ไปกันเถอะลูก” แม่เรียกฉัน ฉันพยักหน้ารับแล้วจึงไปปิดบ้านพร้อมทั้งให้อาหารจัมโบ้ไว้
เผื่อกลับมาถึงบ้านเย็น แล้วฉันก็ขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังของรถอย่างเงียบๆ แล้วหยิบหนังสือการ์ตูน
เรื่องสแลมดั้งค์ที่เพิ่งเช่ามาใหม่ขึ้นมาอ่านอย่างไม่สนใจใคร จนแม่มองฉันอย่างหน่ายๆ
ระหว่างการเดินทางเข้าตัวเมือง แม่กับสามีของแม่ก็คุยกันตลอดทางและยังพยายามเปิด
ประเด็นชวนฉันคุยด้วย แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก นอกจากหนังสือการ์ตูนที่อยู่ในมือ
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงก็มาถึงตัวเมืองสักที ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะช่วงเวลาที่เดินทาง
มานั้นชวนอึดอัดเหลือเกิน แม่ฉันบอกให้สามีของแม่พาไปที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เพื่อมา
ทานข้าวและซื้อของใช้สอยที่นี่ที่เดียวแล้วก็จะกลับบ้านเลย
พอทานข้าวเสร็จแล้วฉันก็ขอตัวไปเดินเลือกของใช้ตามลำพัง ดูเหมือนว่าแม่จะไม่พอใจ
ฉันเอาการอยู่ แต่ฉันไม่ได้สนใจนัก ฉันเดินเลือกของใช้อย่างไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษนัก
เพราะในใจคิดถึงแต่เจ้าของรถที่มาฝากไว้กับฉัน ให้ฉันต้องมาเช็ดเช้าล้างเย็นอยู่อย่างนี้
ป่านนี้เขาจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ได้ยินมาว่าการฝึก ร.ด. ของปี 3 นั้นหนักหนาเอาการอยู่
แล้วอากาศเย็นขนาดนี้ ไอ้เสื้อกันหนาวของฉันจะสร้างความอบอุ่นให้เขาได้เพียงพอหรือเปล่า
เขาจะรู้บ้างไหมนะว่าฉันเป็นห่วงและคิดถึงเขามากเหลือเกิน
“เสร็จรึยังลูก” เสียงแม่ของฉันทำให้ฉันตกใจ เพราะใจของฉันมันไม่ได้อยู่กับตัว ฉันจึงหัน
ไปมองแม่ที่ในรถเข็นของห้างนั้นมีของอยู่เกือบจะเต็ม ฉันพยักหน้ารับกับแม่ แล้วจึงพากัน
ไปจ่ายเงิน จากนั้นก็กลับบ้าน
พอถึงบ้านของฉัน แม่ก็ขนของลงมาไว้ในบ้าน ฉันก็เลยงงนิดๆ ว่าแม่จะเอามาไว้ที่นี่
ทำไม เพราะแม่ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่พอแม่เอาของลงจากรถเสร็จแล้ว ฉันจึงรู้คำตอบ
“เอาไว้ใช้นะ หนูจะได้ไม่ต้องซื้อ” แม่บอกกับฉัน ฉันมองหน้าแม่แล้วเหมือนน้ำตาของฉัน
กำลังจะไหลออกมา ฉันจึงหันหน้าหลบให้พ้นสายตาของแม่ จากนั้นแม่ก็ให้เงินที่ฉันจะต้องใช้
ในการลงทะเบียนสอบเอนทรานซ์ในวันพรุ่งนี้ไว้ให้ แล้วแม่ก็ขึ้นรถไป ฉันมองเงินจำนวน
หนึ่งพันบาทที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นด้วยด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ก่อนจะเดินไปดูของที่แม่เอา
ไว้ให้ฉัน ...สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ยาสระผม และของใช้จำเป็นอีกหลายอย่าง ฉันถอนหายใจ
ด้วยความรู้สึกแย่ ...แม่จ๋า หนูขอโทษ...

เช้าของวันรุ่งขึ้น ฉันกับเพื่อนร่วมก๊วนก็พากันเดินทางเข้าไปในตัวเมือง เพื่อลงทะเบียน
ขอสอบเอนทรานซ์รอบที่สองของปีการศึกษา หลังจากที่รอบแรกนั้นคะแนนของฉันห่วยแตกจน
เกินจะรับไหว พอฉันกับเพื่อนๆ ไปถึงมหาวิทยาลัยชื่อดังของจังหวัดก็เริ่มทำการตามขั้นตอนที่
เขากำหนด โชคดีที่ฉันกับเพื่อนๆ มาถึงกันไวจึงไม่ต้องเบียดเสียดกับคนอื่นมากนัก จนฉันกับ
เพื่อนๆ ทำการลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ก็กำลังพากันตัดสินใจว่าจะกลับบ้านเลย หรือว่าไปไหน
กันต่อ แต่ด้วยอากาศที่หนาวเย็น พวกฉันจึงไปนั่งตากแดดกัน ระหว่างการออกความคิดเห็นกัน
อยู่นั้น โทรศัพท์มือถือของอ๊อฟก็ดังขึ้น ทำเอาเพื่อนในกลุ่มชะงักกันหมด อ๊อฟมันคุยโทรศัพท์
สักพักก็หันมาบอกกับเพื่อนว่า พวก ร.ด.ที่ไปฝึกกำลังจะมาที่นี่ เพื่อลงทะเบียนเหมือนกัน
ทำเอาเพื่อนหลายๆ คนดีใจ เพราะความคิดถึงเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานหลายวัน แต่จะมีใครที่
รู้สึกเหมือนฉันบ้าง ฉันยิ้มออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมมันได้เมื่อได้ยินว่าเขากำลังจะมา
หลายวันที่ฉันไม่ได้เจอเขา ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกัน หรือว่าแกล้งกันนั้น มันทำให้ฉันรู้ตัวแล้วว่า
‘ฉันรักเขาเข้าแล้วจริงๆ’ ฉันถอนตัวไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่ต่อจากนี้ฉันควรทำยังไงต่อไป
เรากำลังจะจบ ม.6 และต้องแยกย้ายกันไปตามเส้นทางของแต่ละคน แล้วถ้าเขากับฉันไม่ได้
เดินทางเส้นเดียวกันล่ะ ฉันจะทำยังไง ...ลืมเขาไปซะ เพราะอนาคตทั้งของเขาและฉันยังคง
อีกยาวไกล หรือเลือกทำตามที่หัวใจของฉันมันเรียกร้อง สารภาพรักกับเขาไปซะ
จะเป็นยังไงก็ให้มันรู้ไป ถ้าเขาไม่ได้รู้สึกอย่างเดียวกับที่ฉันรู้สึกกับเขา ฉันก็พร้อมที่จะ
ยอมรับความเจ็บปวด แต่ถ้าเขารู้สึกอย่างเดียวกับฉัน ฉันคงยินดีเป็นที่สุด
“คิดถึงเป้งอยู่ล่ะสิ” เสียงของตุ้ยดังขึ้นขัดความคิดของฉัน ฉันไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ยิ้ม
ตอบกลับไป ตุ้ยเป็นเพื่อนผู้หญิงอีกคนในก๊วนที่พูดน้อย สุภาพ และเข้าใจคนอื่นได้ดี
เรื่องที่ฉันแอบชอบเป้งมานานนั้น ดูเหมือนว่าตุ้ยจะดูออก แล้วตุ้ยก็สะกิดฉันเบาๆ
ฉันหันไปมองตุ้ยด้วยสายตาเชิงคำถาม แล้วตุ้ยก็พยักเพยิดไปทางด้านหลังของฉัน
ฉันจึงมองตามเธอไป กลุ่มชายชุดสีเขียวเข้มในเครื่องแบบของนักเรียนวิชาการรักษา
ดินแดนหลายสิบคนกำลังลงจากรถโดยสารของทหาร ฉันมองกลุ่มคนพวกนั้นด้วยความรู้สึก
ตื่นเต้นระคนยินดี และในที่สุดคนที่ฉันรอคอยก็ลงมาจากรถพร้อมเพื่อนร่วมก๊วนเดียวกัน
แค่ได้มองเขาจากที่ไกลๆ แบบนี้ยังทำให้ฉันหัวใจเต้นผิดจังหวะ ก่อนที่จะยิ้มออกมาในที่สุด
ด้วยความยินดี เพราะเขาสวมเสื้อแขนยาวตัวเดิมของฉันไว้ จนเพื่อนผู้หญิงหลายคนส่งสายตา
มองฉันด้วยความสงสัย แต่ฉันไม่สนใจนัก เพราะฉันกำลังมองเป้งด้วยความคิดถึง และเป้ง
ก็มองมาทางฉันพอดี เขายิ้มจางๆ แล้วเดินเข้ามาหาฉันและเพื่อนๆ ทุกท่วงท่าการเดินและ
ร่างสูงสมส่วน บวกกับใบหน้าหล่อเหลาชวนมองของเขาทำให้สาวๆ หลายคนที่มาจาก
โรงเรียนอื่นต่างมองเขาด้วยสายตาที่จะเรียกว่าหยาดเยิ้มก็ว่าได้ ฉันเห็นอย่างนั้นก็
ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วละสายตาจากเขาไป ก่อนจะก้มหน้าลง แล้วคิดถึงตัวเอง ...
ผู้ชายที่ไหนจะมาเลือกผู้หญิงที่กินเหล้าเก่งกว่าเขามาเป็นแฟนวะ ฉันกินเหล้าให้เขาเห็น
สูบบุหรี่ก็เคย อ้วกต่อหน้าก็มี เฮ้อ... ฝันเฟื่อง แล้วเสียงย่ำเท้าด้วยรองเท้าบู๊ตหนักๆ
หลายคู่ก็ดังเข้ามาใกล้แล้ว ฉันตัดสินใจไม่หันไปมองเขาอีก พลางภาวนาในใจว่า
ขอให้เขาอย่ามาทำดีกับฉันอีกเลย อย่าทำให้ฉันหวังมากไปกว่านี้ แล้วเสียงของเพื่อน
ในกลุ่มก็ทักทายกับพวก ร.ด. ที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายวันก็เต็มไปด้วยความสดใส
ส่วนฉันน่ะเหรอ มีแต่ความสับสนและเศร้า
“นั่งทำไรน่ะ อาบุ้ง” ด้าที่เป็นนักศึกษาวิชาทหารเหมือนเป้งทักฉันแล้วมานั่งลงข้างๆ ฉัน
ฉันยิ้มกลับไป ก่อนจะตอบ
“นั่งตากแดดไง หนาวน่ะ” ฉันตอบแต่ไม่ได้เงยหน้ามองเขา เพราะกลัวจะเห็นเจ้าของเสียง
ที่ทำให้หัวใจของฉันปั่นป่วนที่เจ้าตัวยังคงเอ่ยทักทายกับคนอื่นๆ ด้วยความร่าเริงและ
กวนประสาทตามนิสัย
ฟึ่บ!! “เฮ้ย!!” จู่ๆ อะไรสักอย่างที่อุ่นๆ ก็คลุมลงมาที่หน้าฉัน ฉันได้แต่ร้องอุทาน
ก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกฝ่ามือกระแทกที่หัวสองสามที ฉันจึงรีบดึงไอ้สิ่งที่ปิดหน้าฉันออกมา
แล้วจึงรู้ว่าไอ้เจ้านั่นคือเสื้อแขนยาวของฉันนั่นเอง มันยังคงอุ่นอยู่เลย แล้วยังมีกลิ่นอีกด้วย
กลิ่นที่ฉันชอบแต่ไม่คุ้นเคย ฉันเงยหน้ามองคนที่เพิ่งถอดเสื้อของฉันออก เขายิ้มกวนๆ ให้ฉัน
เพราะคงสะใจที่ได้แกล้งฉันอีกตามเคย
“หนาวเหรอ” เขาถามฉันหลังจากที่ฉันเอาแต่เงียบ ฉันไม่พูดอะไร แต่พยักหน้าตอบไปแทน
“งั้นก็ใส่เสื้อสิ” เป้งบอกฉันอีก ฉันจึงเงยหน้ามองเขาที่ยืนเค้าหัวฉันอยู่อย่างไม่เข้าใจนัก
“ถ้าหนาวตอนนี้ก็ใส่ไปก่อน เดี๋ยวค่อยเอามาคืน ฮ่าๆๆ” เป้งพูดอย่างอารมณ์ดี ฉันจึงยิ้ม
ออกมา แล้วสวมเสื้อที่ยังคงมีกลิ่นกายของเขาติดอยู่ด้วยความรู้สึกแปลกๆ แล้วเขาก็นั่งข้างฉัน
แล้วจัดปกคอเสื้อให้ฉัน ก่อนจะตบหัวฉันเบาๆ อีกที แต่ฉันไม่ได้โวยวายหรือตอบโต้เขา
เพราะทั้งตื่นเต้นและเขินที่เขามาทำอ่อนโยนกับฉัน
“เสื้อตัวนี้เสื้อแนนเหรอ” เฟรชเพื่อนร่วมก๊วนที่เป็น ร.ด. อีกคนถามขึ้นมาพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย
“อืม ใช่” ฉันตอบกลับ แล้วเฟรชก็ยิ้มออกมาพลางมองเป้งที่หันหน้าไปทางอื่น แล้วจึงพูดออกมา
“ก็ถึงว่าล่ะ เป้งมันถึงใส่ไม่ยอมถอด แม้แต่เวลานอนมันก็ยังใส่ แถมขอยืมก็ไม่ยอมให้อีกต่างหาก
ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง” เฟรชพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน ทำเอาฉันหน้าร้อนฉ่า เพื่อนในก๊วนก็พากันยิ้ม
อย่างมีความหมาย แล้วเป้งก็ผุดลุกขึ้น
“ไม่ใช่นะเว้ย ก็มันหนาวนี่นา กูไม่มีเสื้อกันหนาวไป แล้วเสื้อตัวนี้ก็บางนิดเดียวเอง ถ้าไม่ใส่ไว้
ตลอด กูก็แข็งตายอ่ะดิ” เป้งพูดขึ้นเสียงดัง แล้วความยินดีของฉันก็หายวับไป ฉันหันไปมองเป้ง
ที่กำลังยืนเถียงกับเฟรชเรื่องเสื้อของฉันอยู่ ฉันมองดวงหน้าที่คล้ำลงเพราะแดดของเขาแล้วก็ต้อง
ถอนหายใจออกมา ก่อนจะคิดในใจต่อ ...บอกแล้วว่าอย่าฝันเฟื่อง พวกเขายืนคุยกันต่อสักพักก็ไป
จัดการเรื่องลงทะเบียน แล้วบุ๋มก็ถามฉันขึ้นมา
“ทำไมเสื้อแนนไปอยู่กับเป้งล่ะ”
“เป้งไม่มีเสื้อกันหนาว ก็เลยให้ยืมน่ะ” ฉันตอบ บุ๋มพยักหน้ารับแต่ยังเหมือนว่ามีอะไรอยากจะ
ถามฉันต่อ ฉันจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วตกลงว่าจะไปต่อกันรึเปล่า”
“พวกนั้นไม่ไป แต่บุ๋มอยากไปแฟรี่ แนนไปเป็นเพื่อนบุ๋มหน่อยสิ”
“ได้สิ” ฉันตอบรับ
ฉันกับบุ๋มคุยกันเรื่องสัพเพเหระ รวมถึงเรื่องของอู๋ที่เพิ่งอกหักจากฉันไป จนเมื่อเป้งกับเพื่อนๆ
ร.ด. จัดการเรื่องลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินมาหาฉัน ฉันจึงถอดเสื้อแขนยาวให้เขา
เป้งรับเอาแล้วยิ้มให้ฉันด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะแปลกไป ฉันก็ยิ้มน้อยๆ ตอบกลับไป แต่ฉัน
ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาดี
“ที่บ้านหนาวไหม” เป้งถามฉันขึ้นมาก่อน
“หนาว” ฉันตอบสั้น พลางมองแขนของเขาที่มีทั้งรอยขีดข่วน รอยช้ำ และยังคล้ำลงกว่า
เดิมมาก ฉันจึงถามเขาบ้าง
“แล้วที่ฝึกน่ะ เหนื่อยไหม”
“เหนื่อยมากและหนาวมากเลยล่ะ ถ้าไม่ได้เสื้อของแนนเราคงจะแย่” เป้งพูดแล้วสวมเสื้อของฉัน
ก่อนจะยิ้มจางๆ มาให้ฉัน แล้วเขาก็ดึงปกคอเสื้อแขนยาวของฉันขึ้นมาดม แล้วจึงบอกกับฉัน
“วันที่แนนให้มามันหอมกว่านี้ แต่วันนี้มันเริ่มเหม็นเหงื่อเราแล้วล่ะ”
“แต่เราชอบกลิ่นที่มันมีอยู่ตอนนี้มากกว่า” ฉันตอบกลับเบาๆ แล้วเป้งก็ยิ้มกว้างขึ้น แต่ก่อนที่
เขาจะพูดอะไรออกมา ผู้บังคับบัญชาของเขาก็เป่านกหวีดเรียกรวมตัว เขากระโดดลุกขึ้นอย่าง
รวดเร็ว แล้วหันมาบอกกับฉัน
“ต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองด้วยนะ”
“อืม ไปเถอะ” ฉันตอบกลับ แล้วเขาก็ยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะวิ่งไปรวมตัวกับคนอื่นๆ แล้วขึ้นรถไป
ฉันมองตามรถคันนั้นจนลับสายตา เหมือนเมื่อครู่นี้มีแค่ฉันกับเขา แต่ตอนนี้เหลือแค่ฉันเพียงคนเดียว
“แนนไปกันเถอะ” บุ๋มเดินมาเรียกฉัน ทำให้ฉันเพิ่งนึกได้ว่าฉันยังอยู่กับเพื่อนอีกนับสิบคนที่กำลัง
มองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ฉันจึงเดินนำบุ๋มออกไปขึ้นรถโดยสารโดยไม่ได้พูดอะไรกับใครทั้งสิ้น (- -")

ไม่มีความคิดเห็น: