วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

พิชิตรัก ลุ้นหัวใจนายเพื่อนสนิท Part : 8

และแล้วก็ถึงวันที่เขาต้องไปฝึก ร.ด.แล้ว เฮ่อ ฉันรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
จะไม่ได้เห็นหน้าเขาตั้งเกือบอาทิตย์เชียวนะ เมื่อกี้เขาโทรหาฉันบอกว่ากำลังจะออก
จากบ้านมาแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงค่ำของวันอาทิตย์ เขาจะต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่
เช้ามืดของวันจันทร์ จึงต้องมานอนที่บ้านไอ้โก้ ตอนนี้ฉันก็ได้แต่นั่งใจจดใจจ่อรอเขา
อยู่ที่หน้าบ้าน บรื๋อ... หนาวจังนี่ก็เข้าสู่ฤดูหนาวแล้วสินะ ฉันจึงลุกไปในบ้านเพื่อใส่
เสื้อกันหนาวสีบานเย็นตัวโปรดของฉันแล้วออกมานั่งรอเขาอีกรอบ แล้วเขาก็มาถึงบ้าน
ของฉันพอดี
“บรื๋อ... หนาว” เสียงเขาพูดทันทีเมื่อเดินเข้ามาหาฉัน พลางถูมือไปมา
“แล้วทำไมไม่รู้จักใส่เสื้อแขนยาวมาล่ะ เดี๋ยวก็ไม่สบายเอานะ” ฉันต่อว่าเขาด้วย
ความเป็นห่วง ก็มันหนาวจริงๆ นี่นา ขับฝ่าลมหนาวมาได้ยังไง บ้านก็ไม่ใช่ว่าจะใกล้ๆ
แถมยังเป็นถนนสายหลักที่รถวิ่งกันเยอะๆ อีก
“เอาน่า ไม่เป็นไรหรอก ป่ะ ไปส่งที่บ้านไอ้โก้หน่อย” เป้งพูดอย่างไม่ใส่ใจความห่วงใย
ของฉัน ฉันจึงถอนหายใจออกมา แล้วจึงเอ่ยตอบรับ
“ไปสิป่ะ”
“แนนขับนะ เราหนาว ^ ^” เป้งพูดพร้อมรอยยิ้มที่ฉันไม่อาจขัดขืนได้สักครั้ง ฉันมอง
รอยยิ้มนั้นแล้วก็ต้องยินยอมแต่โดยดี แม้ว่าอากาศจะหนาวมากขนาดไหนก็ตาม
“อืมๆ” แล้วฉันก็ขับรถของเขาออกจากบ้านของฉันช้าๆ เพราะเขาหนาวนี่นา
(ไม่ใช่ว่าอยากอยู่ใกล้ๆ กับเขานานๆ หรอกเหรอ) ตอนแรกฉันก็อยากจะถามเขาว่า
ทำไมไม่เอารถไปไว้ที่บ้านแฟนของเขา ง่ะ.. ไม่อยากใช้คำว่าแฟนเลยอ่ะ
เอาเป็นผู้หญิงของเขาก็แล้วกัน แต่ฉันก็ไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆ อย่างนี้หรอก
ฉันจึงตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไป แล้วฉันก็รู้สึกถึงความอุ่นแผ่ซ่านที่หลังของฉัน
ฉันจึงหันไปมองดูเขา แต่ก็ต้องตกใจเพราะที่ฉันหันไปเมื่อกี้นั้น เกือบทำให้หน้าของเขา
กับฉันชนกันแน่ะ แล้วทำไมอีตาบ้านี่ต้องยื่นหน้ามาใกล้ฉันขนาดนี้ด้วยนะ ^///^ เขินอ่ะ
“นี่ ขับให้มันเร็วๆ กว่านี้หน่อยได้มั้ย หนาวจะตายแล้ว” เขาโวยวายขึ้นมา
“อือๆ” แล้วฉันก็บิดไปอย่างเร็ว ให้ทันใจเขา
“โอ๊ยๆ หนาวอ่ะ ช้าๆ หน่อยสิ” เขาร้องอีก ...เอ๋า อีตานี่ เอาใจยากชะมัด
“จะเอาไง” ฉันถามเขาเสียงเย็น เพราะฉันชักจะเริ่มอารมณ์เสียแล้วนะ
“แหะๆ เอาแบบพอดีๆ อ่ะ ^ ^” เป้งตอบพลางยิ้มแหยๆ
“ฮู้วว์ เอาใจยากว่ะ” ฉันบ่น
“ง่ะ”

และแล้วก็ถึงบ้านไอ้โก้ ว้า... ถึงแล้วเหรอเนี่ย งั้นเราก็ต้องแยกจากกันแล้วใช่มั้ย T_T
อย่าไปเลยน้าที่ร้ากกก (เว่อร์ไปละ) หมดเวลาแล้วสินะ ก็ไอ้โก้มันออกมายืนรอต้อนรับอยู่ที่
หน้าบ้านแล้วนั่น
“เฮ้ย เป้ง มึงไม่หนาวเหรอวะ แล้วมึงเอาเสื้อกันหนาวไปด้วยมั้ยเนี่ย” ไอ้โก้ถามเป้ง
“ไม่ได้เอามาว่ะ ไม่หนาวหรอกมั้ง” เป้งตอบอย่างไม่แน่ใจนัก
“เฮ้ย เค้าบอกว่าที่นั่นอ่ะ หนาวกว่านี้เยอะเลย ทนได้เหรอมึง แค่นี้ก็ปากจะเขียวแล้วนะ”
ไอ้โก้พูดต่อ แล้วเป้งก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะบอก
“ก็...กูไม่มีอ่ะ”
“เสื้อแนนนั่นไง แนนให้เป้งมันยืมได้ป่ะ” ไอ้โก้ส่งเสียงถามฉัน แต่สายตาของมันเป็น
ประกายแปลกๆ ชวนหนาวๆ ร้อนๆ ยังไงไม่รู้
“...” แต่ฉันยังเงียบ
“นี่ ยืมหน่อยสินะ น่านะ” เป้งส่งเสียงอ้อนฉัน ตอนแรกฉันตั้งใจจะถอดให้เขาได้ตั้งแต่
โก้มันถามแล้ว แต่ฉันอยากแกล้งให้เป้งขอร้องฉัน ฮ่าๆ
“อืมๆ ก็ได้ รักษาดีๆ นะ เสื้อตัวโปรดนะเนี่ย” ว่าเสร็จฉันก็ถอดให้เขา บรื๋อ... หนาวจัง
เขารับไปแล้วก็สวมเสื้อของฉันทันที เอ่อ ฉันหนาวอ่ะ
“ฮิฮิ อุ่นจัง ^ ^” ว่าพูดพลางหันมายิ้มเยาะเย้ยฉัน
“เออ อุ่นก็ดีละ กลับแล้วนะ” ฉันบอกพลางเหลือบมองเขาน้อยๆ แต่ในใจจริงแล้วฉันอยาก
จะจ้องมองเขาให้เต็มตามากกว่า
“ดูแลรถให้ด้วยนะจ๊ะ ^ ^” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม
“อืมๆ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะให้พี่ชายเอาไปยกล้อดูละกัน อิอิ” แล้วฉันก็ขับรถออกมาทันที
ไม่ทันได้ฟังเสียงก่นด่าของเขา ฉันขับรถของเขาด้วยความสุขใจ ว้าว ทำไมรถของเขามัน
บิดปุ๊บไปปั๊บอย่างนี้นะ รถแรงจริงๆ ว่าแล้วก็ขอลองรถหน่อยแล้วกันนะ แล้วฉันก็กลับถึง
บ้านอย่างรวดเร็วตามความแรงของรถ ^o^


เฮ่อ ทำไมมันเงียบเหงาอย่างนี้น้า.. เพิ่งจะผ่านไปสองวันเองนะ ตอนนี้ฉันนั่งฟังเพลง
อยู่ที่สนามบาสเพียงลำพัง มันไม่มีอะไรจะให้ทำอ่ะ รวมทั้งช่วงหลังๆ บุ๋มกับอ๊อฟก็คุยกับ
ฉันน้อยลง คงตั้งแต่ที่มีเรื่องกันอยู่ที่ร้านนมนั่นแหละมั้ง พวกเธอพยายามถามฉันว่าคนที่ฉัน
หมายถึงนั้นเป็นใคร แต่ฉันก็ไม่บอกพวกเธอ และไม่คิดที่จะบอกด้วย ยัยบุ๋มบอกกับฉัน
อย่างเคืองๆ แต่เหมือนจะเข้าใจฉันว่ามันเป็นเรื่องของฉัน ฉันเป็นคนตัดสินใจ แต่ที่ถาม
คือเพราะว่าไม่เข้าใจว่าทำไมฉันจะต้องปิดบังบุ๋ม ทั้งๆ ที่ฉันกับบุ๋มเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่
ม.ต้น และสนิทกันที่สุด ส่วนยัยอ๊อฟน่ะเหรอ คงจะมากกว่าแค่เคืองฉัน เพราะเธอเล่นไม่
พูดกับฉัน แถมบางทียังมีกระแนะกระแหนอีกต่างห่าง คงจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานก่อนล่ะมั้ง
‘ทำไมเป้งต้องเอารถไว้ให้มึงใช้ด้วยวะ’ ยัยอ๊อฟถามด้วยน้ำเสียงที่ฉันฟังออกว่าไม่พอใจ
‘กูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เค้าบอกให้ดูแลรถให้’
‘แม่ง แล้วทำไมต้องมึงด้วยวะ มึงก็มีรถใช้อยู่แล้วนี่’
‘กูมีรถใช้ที่ไหน มีแต่ตอนมาโรงเรียนน่ะสิ ตอนเย็นพี่กูก็มาเอาไป’
‘กูก็ไม่มีรถใช้เหมือนกันนี่หว่า แม่งห่าเป้ง’ เฮ่อ ท่าทางจะอิจฉาฉันล่ะสิเนี่ย
‘แล้วสองคันที่บ้านมึงล่ะ’ ฉันถาม ...เวรเอ้ย รถบ้านตัวเองก็มีตั้งหลายคัน ยังจะมาแย่งรถ
ของคนสำคัญที่เขาอุตส่าฝากฉันไว้ได้ยังไง ชิส์ ฉันไม่ยอมหรอก
‘น้องกูก็ใช้ แม่กูก็ใช้ พ่อกูอีก เห็นมั้ยกูไม่มีรถใช้เลย’ ยัยอ๊อฟพูดด้วยน้ำเสียงชวนน่าสงสาร
แต่ฉันรู้นิสัยยัยนี่ดี มันชอบเอาชนะคนอื่นเป็นที่สุด
‘อืม แต่กูคงให้มึงเอารถเป้งไปไม่ได้หรอกว่ะ เพราะเขาฝากกูไม่ใช่ฝากมึง’ ฉันตอบกลับไป
ด้วยน้ำเสียงเย็นชากว่าเก่า
‘มึงพูดอย่างนี้ได้ไงวะ กูก็เป็นเพื่อนมันนะเว้ย แค่กูจะเอามาใช้บ้างเนี่ย ไม่ได้หรือไง’
ยัยอ๊อฟเริ่มส่งเสียงดัง อย่างอารมณ์เสีย
‘เอาไปใช้ได้บ้างบางครั้ง แต่ไม่ใช่เอาไปจอดไว้ที่บ้านมึงเลย ถ้าทำอย่างนั้น เจ้าของรถเขา
จะมาว่ากูได้ แล้วกูก็รับปากเขาไปแล้วว่าจะดูแลให้เป็นอย่างดี อีกอย่างกูเคยเห็นมึงขับแล้ว
แค่ตั้งขารถ มึงยังยกไม่ไหวเลย แล้วกูจะมั่นใจได้ยังไงว่าถ้ามึงเอาไปใช้แล้วจะไม่เกิดอะไร
กับรถเขา’ ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เพราะอยากจะให้เรื่องไม่เป็นเรื่องนี้จบไปซักที
เฮ่อ ฉันไม่เคยเถียงกับใครนานขนาดนี้เลยนะเนี่ย
‘เออ จำไว้เลยนะมึง’ ยัยอ๊อฟพูดด้วยน้ำเสียงเครียด แล้วเดินจากไป
ที่ฉันยกเหตุผลทั้งหมดมาอ้างเพื่อไม่ให้ยัยนี่ตื้อฉันต่อไป ถึงมันจะดูเหมือนไม่รักษาน้ำใจ
เพื่อนแต่ฉันก็ไม่อยากผิดคำพูดที่ให้ไว้กับเขาก่อนไป แล้วฉันก็ไม่เคยมั่นใจในตัวยัยนี่เลย
ว่าจะดูแลรถให้เขาได้ เฮ่อ คิดๆ ไปก็ดีแล้วล่ะที่ฉันพูดอย่างนั้นออกไป จะได้ดัดนิสัยยัยนี่
ไปด้วย ยัยนี่ทั้งเอาแต่ใจและไม่ค่อยฟังความคิดเห็นของคนอื่น คงเพราะปกติแล้วมีแต่
คนยอมอ่อนให้เลยยิ่งได้ใจ จริงๆ แล้วฉันก็ยอมให้บ้าง เพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียง
ก็ฉันมันคนพูดน้อยนี่นา แต่บางครั้งฉันก็ไม่ยอมให้ถูกข่มเหมือนกัน ก็อย่างเรื่องรถนี่แหละ
ฉันยอมไม่ได้จริงๆ เอาเถอะ ยัยนี่โกรธไม่นานหรอก(มั้ง)


“นี่ เป็นไรน่ะแนน หน้าหงิกเชียว ไปๆ ไม่ต้องขายแล้ว ทำหน้าน่ากลัวแบบนี้
เด็กที่ไหนมันจะกล้าเข้ามาซื้อ” เสียงเจ๊บ่นฉัน ก็จะไม่ให้หน้าหงิกเป็นตะหลิวอย่างนี้ได้ยังไง
ช่วงนี้เป็นช่วงที่น่าเบื่อสุดๆ เลย ชั่วโมงสุดท้ายของวันทั้งที ก็ฉันไม่มีเพื่อนคุย ไม่มีใคร
เล่นบาสด้วย เฮ่อ แล้วฉันก็ต้องมานั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่ร้านเจ๊นี่ แถมยังโดนไล่ไม่ให้ขายของอีก
“เฮ่อ เจ๊... แนนเซ็งจะตายแล้วอ่ะ ทำไมมันน่าเบื่ออย่างนี้นะ” ฉันบ่นกระ ปอดกระแปดให้เจ๊ฟัง
“เบื่อ เพราะไม่มีหนุ่มๆ ร.ด.อยู่ข้างๆ ล่ะซี้”
“ใช่ละเจ๊ ไม่มีเพื่อนคุยเพื่อนเล่นอ่ะ อยากเล่นบาสก็ไม่มีเพื่อนเล่น”
“อ้าว พวกอ๊อฟล่ะ แล้วก็มีเพื่อนในกลุ่มอีกตั้งหลายคนไม่ใช่เหรอ”
“โหยเจ๊ เพื่อนผู้หญิงคุยยากกว่าผู้ชายอีก พูดนิดพูดหน่อยก็เคืองก็โกรธ ทีไอ้พวกนั้นด่ามันจะตาย
ยังไม่เห็นโกรธเลย ส่วนไอ้พวกผู้ชายที่ไม่ได้เป็น ร.ด.ก็ไม่ค่อยสนิท มีแต่ไอ้อ้วนคนเดียว
แต่พอเพื่อนร่วมห้องมันไม่อยู่มันก็ดูหงอยๆ ไปเหมือนกัน” ฉันพร่ำซะยาว เพื่อระบายความอัดอั้น
ตันใจให้มันหมดๆ ลงไปบ้าง
“เออ แล้วที่ต้องไปในเมืองน่ะ ไปวันไหนล่ะ” เจ๊ถามฉันเหมือนชวนคุย เพื่อไม่ให้ฉันเฉาตายก่อน
“วันจันทร์หน้านี่แหละเจ๊ ไปตั้งแต่เช้าๆ เลย”
“เออ ไปดีๆ แล้วกันล่ะ อย่าหงุดหงิดให้มันมากนัก เดี๋ยวเผลอไปฆ่าใครเขาล่ะ ฮ่า ฮ่า”
เจ๊พูดกับฉันอย่างร่าเริง
“แหม เจ๊ก็พูดเว่อร์ไป เจ๊ไม่รู้หรือไงว่าแนนเปลี่ยนไปแล้วนะ เดี๋ยวนี้แนนมีใจเยือกเย็นเป็น
น้ำแข็งแล้วนะ ^o^” ฉันบอกเจ๊
“อย่างมึงเขาเรียกว่าภูเขาไฟน้ำแข็งโว้ย บทจะเย็นก็เย็นจัด พอร้อนก็ร้อนแทบระเบิด
ดีนะมึงไม่แปลงร่างเป็นซูเปอร์ไซย่าอ่ะ ฮ่าๆๆ” เจ๊สวนกลับทันที
“...” ท่าทางเจ๊แกจะมีความสุขในการกัดฉันจริง จริ้ง เอาๆ ยอมก็ได้
“พี่แนน...” แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นระหว่างที่ฉันกำลังคิดอะไรเพลินๆ
“ว่าไงซอฟ” ฉันขานรับเมื่อเห็นว่าคนเรียกฉันเป็นใคร ซอฟเป็นผู้ชายที่มีใจเป็นหญิง
รู้จักกับฉันเพราะฉันไปช่วยอ๊อฟที่เป็นญาติกันกับซอฟขายของที่ตลาดนัด
จึงรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และยังเป็นเพื่อนซี้กับผู้หญิงของเป้งอีกด้วย
“เอ่อ พี่แนน หญิงให้มายืมรถพี่เป้งน่ะ มันจะเอาไปส่งเพื่อน” ซอฟถามฉันเสียงเบา
เหมือนไม่ค่อยกล้าพูดเท่าไหร่
“อ๋อ ได้สิ แล้วจะเอาไปเลยมั้ย คือว่าพี่ไม่มีรถกลับบ้านน่ะ พี่จะได้ให้พี่ชายมารับ”
ฉันตอบด้วยน้ำเสียงตามปกติ ส่วนเจ๊ก็มองฉันแบบแปลกๆ
“งั้นเดี๋ยวซอฟไปถามมันดูก่อนนะ” แล้วซอฟก็วิ่งไปถามเพื่อนสาวของหล่อน
แล้วก็เดินกลับมาหาฉันอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ พี่แนน มันบอกว่ามันจะเอาไปแป๊บเดียว เดี๋ยวมันเอารถมาคืนให้”
“อืม งั้นพี่รออยู่นี่นะ” แล้วฉันก็ล้วงพวงกุญแจรถให้ซอฟไป จากนั้นฉันก็กำลัง
จะคิดอะไรของฉันไปเรื่อยๆ แต่เสียงเจ๊พูดขึ้นมาก่อน
“รถเป้งมันเหรอแนน” เจ๊ถามฉันเสียงเรียบ
“จ๊ะเจ๊”
“เออ ไอ้เป้งนี่ก็แปลก แฟนตัวเองมีไม่ฝากไว้ มาฝากกับเพื่อนสาวแทน แปลกๆ นะเนี่ย อิอิ”
เจ๊พูดพร้อมหัวเราะแบบมีเลศนัย
“แปลกตรงไหนเจ๊ เป้งเค้าก็คงคิดว่าแนนไม่มีรถใช้ ส่วนแฟนเค้ามีรถอยู่แล้ว เอามาให้แนน
ใช้มันแปลกตรงไหน” ฉันตอบเจ๊เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ภายในใจฉันนี่สิ
มันปั่นป่วนอย่างบ้าคลั่ง ฉันคงกลัวว่ามันจะเป็นจริงอย่างที่ฉันพูด
“งั้นเหรอ แล้วเค้ามายืมรถแฟนตัวเองจากผู้หญิงคนอื่นเนี่ยนะ คงจะให้ความรู้สึกดีพิลึก
แถมใช้เสร็จแล้วยังต้องรีบเอามาคืนอีกด้วย หึหึ” เจ๊พูดเหมือนมีคำตอบอยู่แล้วในใจ
แต่ยิ่งทำให้ฉันคิดมากกว่าเดิมอีก ฉันเองก็ไม่เข้าใจเป้งเหมือนกัน ถ้าคิดอย่างเห็นแก่ตัวสุดๆ
แบบที่ไม่ต้องรับรู้ถึงความถูกผิดนะ ตอนนี้ฉันมีความสุขนะ บางทีฉันก็รู้สึกว่าเขาทำดีกับฉัน
มากเกินกว่าคำว่าเพื่อน แล้วบางทีเขาก็มีสายตาประกายแปลกๆ ส่งมาให้ฉัน แต่ถ้าคิดในทาง
กลับกันนะ เขามีแฟนแล้วนะ เขาไม่ควรมาทำดีกับฉันอย่างนี้ และฉันก็ไม่ควรถลำลึกไปกับเขา
มากกว่านี้อีกแล้ว บอกตรงๆ ว่าฉันรู้สึกผิดนะ ที่ต้องทำให้ใครบางคนเสียใจ
เฮ่อ ฉันควรทำอย่างไรต่อไปดีนะ ใครก็ได้ช่วยฉันคิดหน่อยสิ T_T
ฉันนั่งรอรถอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วผู้หญิงของเป้งก็เดินเอากุญแจรถมาให้ฉัน
เหมือนว่าเธอมีอะไรจะคุยกับฉัน ฉันจึงชวนคุยไปก่อน
“ถ้าหญิงจะใช้รถก็มาเอาได้เลยนะ หรือถ้าวันไหนจะใช้ทั้งวันก็บอกพี่ก่อน
พี่จะได้ให้พี่ชายพี่มารับตอนเย็น ^ ^” ฉันพยายามพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ฉันจะไม่ค่อยชอบเธอนัก แต่ตอนนี้ฉันกลับเห็นใจเธอจริงๆ
“ค่ะ เอ่อ พี่แนนคือหญิงอยากรู้ว่าทำไมพี่เป้งถึงฝากรถไว้กับพี่แนนน่ะ”
เธอถามฉันเสียงเบา แต่ไม่ยอมสบตาฉัน
“อ๋อ คือ พี่ไม่มีรถใช้น่ะ พี่ชายพี่เอาไปใช้ พี่ก็เลยยืมเป้งมันน่ะ หญิงไม่ว่าอะไรพี่ใช่มั้ย”
ฉันโกหกคำโตไป เพราะไม่อยากให้เธอไม่สบายใจไปกว่านี้
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกค่ะ แค่หญิงอยากรู้เฉยๆ งั้นหญิงไปก่อนนะ” ว่าเสร็จเธอก็เดินจากไป
ฉันไม่เคยคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวอย่างนี้มาก่อน แสดงว่าเธอคงรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้แน่ๆ
ฉันจะต้องทำยังไงต่อไป
“แนน” เสียงเจ๊เรียกฉัน หลังจากที่เงียบไปนาน
“อะไรเหรอเจ๊”
“ไม่ต้องคิดมากน่า เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเองแหละ ไปๆ ไปเก็บร้านให้อาโกได้แล้ว ตอนเย็นมา
รับเจ๊ด้วยนะ ไปกินหมูกระทะกัน เดี๋ยวเจ๊ชวนดรีมไปด้วย” เจ๊หันมาสั่งฉันเป็นชุดๆ
โดยไม่ถามความสมัครใจสักนิด เอาเถอะ ช่างนี้ไม่ค่อยไปไหนกับเจ๊แล้วก็ดรีมเท่าไหร่
ดรีมเป็นเด็กผู้ชายร่วมสังกัดของเจ๊เหมือนกันกับฉัน เขาป็นรุ่นน้องฉันสองปี
ฉันกับดรีมสนิทกันมาก ฉันรักและพยายามดูแลเขาเหมือนน้องชายแท้ๆ ของฉัน
คงเพราะฉันไม่มีน้องชายล่ะมั้ง ฉันมีแค่น้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันเท่านั้น
ส่วนดรีมเองก็แสดงออกว่ารักฉันเหมือนพี่สาวของเขาเช่นกัน

เมื่อฉันเก็บร้านให้อาโกเสร็จแล้ว ฉันก็กลับบ้านโดยไม่ลืมซื้อตับปิ้งของโปรด
ไอ้หนูจัมโบ้ไปฝากมัน เมื่อกลับถึงบ้านจัมโบ้มันก็ดีใจตามประสาหมาส่ายหางดุ๊กดิ๊ก
ไปมาน่ะนะ ออกไปข้างนอกครึ่งชั่วโมง กลับมามันก็ดีใจ เฮ้อ ยังดีนะที่ฉันมีมัน
ไม่งั้นชีวิตของฉันจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ คงไม่มีใครรอคอยฉันอย่างใจจดใจจ่ออย่างนี้
คงไม่มีใครมารับฟังคำพูดพร่ำของฉัน อ่า...ชีวิตฉันมีหมาเป็นเพื่อนจริงๆ หรือเนี่ย
หลังจากที่ให้ข้าวเย็นจัมโบ้เสร็จแล้วฉันก็ออกไปรับเจ๊ที่บ้าน

“แนนไปรับน้องด้วยนะ เมื่อกี้ดรีมโทรมาบอกว่าพี่มันเอารถไปยังไม่กลับเลย”
เจ๊บอกฉันหลังจากที่ฉันไปรับเจ๊ที่บ้าน ดรีมมีพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องอยู่คนหนึ่ง
ฉันนึกสงสารน้องชายของฉันจริงๆ พ่อแม่ของเขาเสียไปตั้งแต่เล็กๆ ตอนนี้อาศัย
กับญาติ และทางบ้านที่เขาอาศัยอยู่ด้วยไม่ค่อยเอาใจใส่เขาเท่าใดนัก พอฉันส่งเจ๊
ที่ร้านก็ตรงไปรับดรีมที่บ้านของเขาทันที
“พี่แนน เอารถกิ๊กมาขับเหรอเนี่ย” พอไปถึงบ้านดรีม เจ้าตัวก็ส่งเสียงกวนประสาท
“กิ๊กเกิ๊กอะไร พี่มีที่ไหนล่ะ นี่รถพี่เป้งเขา”ฉันบอกปัดไป
“พี่แนนๆ ดรีมขอลองขับหน่อยสิ น้าๆ พี่สาวคนสวย” อ่ะนะ อ้อนจริงๆ
“อ่ะๆ ก็ได้จ้า พูดดีๆ พี่ก็ยอมแล้วล่ะ ไม่ต้องมาชม”
“ก็พี่สาวผมสวยจริงๆ นี่นา แถมใจดีสุดๆ ด้วย เสียแต่ชอบทำหน้าโหดอ่ะ” ง่ะ ลืมบอก
ไปว่าไอ้น้องคนนี้มันขี้อ้อน แล้วก็ปากหวานเป็นที่สุด ฉันกับเจ๊จึงไม่เคยขัดใจมันได้สักที
“ว้าว รถแรงจริงๆ น่าอิจฉาพี่เป้งจัง รูปก็หล่อ บ้านก็รวย”
“ไปอิจฉาเขาทำไม เขาก็มีดีของเขา เราก็มีดีของเรา (*///*)” ฉันบอกกับน้องชายไป
แต่รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนวูบวาบยังไงไม่รู้
“ก็มันน่าอิจฉาจริงๆ นี่นา สาวๆ ก็พากันกรี๊ดกร๊าดพี่เป้ง แถมมีรถเท่ๆ ให้ขับ เสียแต่ดรีม
ไม่ชอบแฟนพี่เป้งอ่ะ หมั่นไส้พวกมัน”
“อ้าว ทำไมไม่ชอบพวกเขาล่ะ พี่ก็เห็นเค้าเฉยๆ ออกนะ” ฉันถามน้องด้วยความสงสัย
เพราะปกติน้องชายของฉันไม่ใช่คนที่จะไม่ชอบขี้หน้าใครง่ายๆ
“ก็ดรีมอยู่ห้องหนึ่ง(ห้องที่ฉลาดน้อยที่สุดนั่นเอง) พวกนั้นอยู่ห้องสิบ(ห้องคิงอ่ะนะ)
เวลาพวกมันเห็นดรีมนั่งอยู่คนเดียว มันก็พูดกระทบดรีมว่าโง่แล้วยังโดดเรียนอีก
ดรีมไม่น่าไปเฉลยความโง่ให้พวกมันรู้เลย แค่ไปขอดูการบ้านวิชาคณิตครั้งเดียวนั่นล่ะ
จากนั้นพวกมันก็ว่าแต่ดรีมโง่” ดรีมพูดอย่างมีอารมณ์ ...ก็นะ จะไปว่าอะไรพวกเขา
ก็ไม่ได้ ก็น้องชายฉันมันฉลาดน้อยจริงๆ อ่ะ
“ทีหลังก็ตั้งใจเรียนสิ วิชาคณิตก็ต้องหัดทำแบบฝึกหัดเยอะๆ เดี๋ยวก็เก่ง แล้วก็จะได้
ไม่ต้องไปยืมการบ้านเขามาลอกให้เสียศักดิ์ศรี” ฉันสอนน้องไป
“ฮ่าๆ ทำเป็นมาบอกดรีม แล้วทำยังกับพี่ไม่เคยลอกการบ้านเพื่อน” ดูมันย้อนฉัน
ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นคนขับ ฉันคงดีดมันตกรถไปแล้ว ไอ้น้องบ้า
“ไม่เคยโว้ย คนอย่างพี่ไม่จำเป็นต้องลอกใครหรอก” ฉันตอบตามความจริง
“ฮ้า จริงอ่ะพี่แนน พี่ทำได้หมดเลยเหรอ การบ้านกับแบบฝึกหัดน่ะนะ เก่งเกิ๊นน”
ไอ้น้องบ้ามันทำเสียงดูถูกฉันสุดๆ เชอะ มันรู้จักฉันน้อยไปซะแล้ว
“เฮอะ อย่างพี่น่ะนะ... ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องส่งสิวะ เรื่องแค่นี้หมูๆ ฮ่าๆ”
“ -_- ; เวรกรรม ยิ่งกว่าตูอีก” ดรีมมันพึมพำเบาๆ
“อ๊ะๆ อย่างน้อยๆ พี่ก็มีศักดิ์ศรี ไม่เคยไปอ้อนวอนขอลอกการบ้านใคร
เพราะกลัวไม่มีคะแนนกับกลัวครูว่าหรอกเว้ย”
“งั้นที่เจ๊พูดมันก็จริงน่ะสิ” ดรีมพูดหลังจากที่มาถึงร้านและนั่งที่โต๊ะแล้ว
“เจ๊พูดอะไรเมื่อไหร่” เจ๊ถามดรีม แหม... เจ๊นะเจ๊ ทีพูดกับเด็กผู้ชายแทน
ตัวว่าเจ๊ ทีกับฉันล่ะกูมึง T^T
“ก็ที่เจ๊บอกว่าพี่แนนสอบวิชาคณิตเกือบตกทุกเทอมน่ะ”
“...” อึ้งกิมกี่ค่ะ เพราะเจ๊เอาเรื่องน่าอายพวกนี้ของฉันมาเผาให้น้องมันฟัง
“ก็จริงน่ะซี้ อาจารย์คนไหนก็มาบ่นกับเจ๊ว่ามันไม่ค่อยเข้าเรียน แล้วก็ไม่ยอมส่งการบ้าน
เค้าก็จะให้มันตกน่ะสิ” เจ๊พูดกับดรีมพลางเหล่มองฉัน
“ฮ่าๆ ก็พี่แนนศักดิ์ศรีเยอะอ่ะเจ๊ ไม่ยอมลอกการบ้านเพื่อนส่งครู เลยหักดิบเอาเป็นว่า
ไม่ส่งเลย” ไอ้น้องชายของฉันมันพูดแล้วหัวเราะเยาะ
“นั่นสิเนอะ ศักดิ์ศรีมันเยอะจัด โฮะๆ” ระหว่างที่สองคนนั้นเม้าท์ฉันอย่างเมามัน
ฉันก็ตั้งหน้าตั้งตากินหมูย่างอย่างเดียว โดยไม่สนใจร่วมสนทนาแม้แต่น้อย เชอะ
อยากเม้าท์ฉันนักใช่มั้ย ฉันจะกินให้หมด ไม่เหลือให้ใครเลย ชิส์
“เฮ้ยๆ เจ๊ๆ พี่แนนกินจะหมดแล้วอ่ะ โหย ทำไมกินไวอย่างนี้อ่ะ ดรีมก็อดน่ะสิ”
เสียงน้องชายตัวดีของฉันโวยวาย เมื่อหันมาเห็นหมูในจานที่พร่องไปกว่าครึ่งแล้ว
“สมน้ำหน้า อดกินไปเลย อยากมาว่าพี่ก่อนทำไม ฮ่าๆ” ฉันหัวเราะสะใจ
“พี่แนนอ่ะ ใจร้าย ทำไมพี่สาวผมตะกละอย่างนี้ ฮืออ ” ดรีมว่าฉันพลางทำสีหน้าสลด
“นี่ ให้มันน้อยๆ หน่อย กล้าว่าพี่อย่างนี้ได้ยังไง” ฉันดุมันไป
“เฮ้อ... หยุดๆ พี่น้องสองคนนี้หนิ เอาๆ สั่งมาอีกก็ได้” เสียงเจ๊ดังขัดขึ้นมาก่อนที่
ฉันกับน้องจะเริ่มวางมวยใส่กัน
“เจ๊จ่ายนะ” เสียงฉันกับดรีมดังขึ้นพร้อมกัน
“เออ กูต้องมาเลี้ยงลูกให้คนอื่นเหรอวะเนี่ย” เจ๊รับปาก แต่ไม่วายบ่นอุบอิบ ฉันกับดรีม
จึงต้องรีบพูดเอาใจเจ๊เป็นการใหญ่
“แต่แนนก็รักเจ๊เหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ของแนนเลยนะจ๊ะ” ฉันไม่ว่าเปล่าฉันก็รีบคีบหมู
ใส่จานให้เจ๊อย่างเอาใจสุดๆ
“ดรีมก็รักเจ๊นะคร้าบ เจ๊ก็รู้ว่าดรีมกับพี่แนนไม่มีใคร ก็มีแต่เจ๊นี่แหละ แล้วอีกอย่างเจ๊ไม่มีสามี
แต่ดีแค่ไหนแล้ว มีลูกอย่างเราอีกตั้งสองคน แถมเจ๊ก็ไม่ต้องให้นม ไม่ต้องเจ็บตัวเบ่งลูก
แค่เจ๊เลี้ยงหมูกระทะนี่ยังน้อยนะเนี่ย” ดรีมพร่ำยาว หวังจะให้เจ๊เห็นใจ(ที่แท้ประจบกินฟรี
ชิชะ รู้ทันหรอกน่า) ฉันได้แต่ส่งสายตาชื่นชมไปให้น้องชายสุดหล่อของฉัน
“อืมๆ รู้แล้วๆ ไม่เห็นต้องพูดอะไรให้ซึ้งขนาดนั้นเลย น้ำตาจะไหลอยู่แล้ว” เจ๊ยิ้มกว้างพลาง
มองฉันกับน้องด้วยสายตาซาบซึ้ง
หลังจากนั้นเราสามคนก็พากินกินหมูกระทะกันอย่างเอร็ดอร่อย แล้วฉันก็ไปส่งทุกคน
ที่บ้านเรียบร้อย ฉันก็ตรงกลับบ้านทันที แล้ววันหนึ่งวันของฉันก็ผ่านไป
(^.^)